รวม 7 หนังภัยพิบัติล้างโลก ที่รุนแรงระดับถล่มโลกแตก
เหมือนเป็นโจทย์อย่างหนึ่งของวงการ Hollywood ที่มักสรรหากระบวนการต่างๆ มาทำลายล้างโลกกันเป็นว่าเล่น ถ้าบางเรื่องสเกลเล็กๆ หน่อย ก็อาจทำลายล้างกันในระดับเมือง อย่าง San Andreas, Dante Peak, Valcano และอื่นๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าบางครั้งมันก็อาจจะยังไม่สาแก่ใจทีมสร้างและคนดูมากพอ ก็เลยต้องขยับขยายสเกลให้เป็นการทำลายโลกให้ฉิบหายวายป่วงแทน
ซึ่งโดยส่วนมากการทำลายล้างโลกที่ว่าก็มักหนีไม่พ้นเรื่องภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติต่างๆ ไปจนถึงภัยนอกโลกทั้งอุกาบาตลง หรือหากจะให้ไซไฟไปกว่านั้น ก็อาจจะเพิ่มมนุษย์ต่างดาวเข้ามาเป็นวายร้ายของเรื่องไปด้วยอย่างพวก ID4 อะไรแบบนี้ สำหรับต้นเดือนหน้าก็จะมีหนังแนวๆ นี้เข้าใหม่กันอีกเรื่องที่มีชื่อว่า Moonfall ที่เหมือนผู้กำกับ Roland Emerich จะขอเล่นใหญ่ให้สาแก่ใจ เพราะมหันตภัยครั้งนี้คือการเอาดวงจันทร์มาซัดใส่โลกซะเลย เราก็เลยอยากขอพาไปทบทวนความหลังถึงชะตากรรมของโลกใบนี้ ว่าก่อนจะมาถึง Moonfall (2021) ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
Armageddon (1998) – วันโลกาวินาศ
เมื่อดาวหางขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งเข้าชนโลก เวลาที่เหลือมีอยู่แค่เพียง 18 วันเท่านั้น แฮรี่ สแตมเปอร์ และลูกทีมที่เป็นนักขุดเจาะแท่นน้ำมันมืออาชีพ จึงเป็นความหวังเดียวของโลก ที่จะต้องรับภารกิจจากทาง NASA เพื่อฝึกฝนทักษะนักบินอวกาศ จะได้ขึ้นไปขุดฝังระเบิดนิวเคลียร์จากภายในดาวหางให้แตกออกจนหลีกเลี่ยงการชนโลกไป จนเกิดเป็นภารกิจสุดระห่ำเพื่อช่วยโลกจากภัยพิบัติในครั้งนี้
สำหรับ Armageddon จะเหมาะกับคนที่ชอบหนังภัยพิบัติล้างโลก แบบที่ไม่ต้องอ้างอิงกับความสมจริง หรือหลักวิทยาศาสตร์อะไรให้มากมาย แต่เน้นดูเอาบันเทิง ดูเอาลุ้นกับภารกิจตัวละครว่ารอดไม่รอด ตามสไตล์หนังแอคชั่นของ Michael Bay ซึ่งเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นผลงานอันดับต้นๆ ของเขา และเป็น Masterpiece ของใครหลายๆ คน (แต่ส่วนใหญ่น่าจะยกให้ The Rock มากกว่า) เพราะหยิบมาดูอีกกี่ทีก็ยังสนุก ทั้งแง่ความโรแมนซ์ ความซึ้ง ฉากแอคชั่นเดือดๆ แม้ว่ามันจะผิดหลักการที่ไปฝึกนักขุดเจาะให้เป็นนักบินอวกาศ แทนที่จะฝึกนักบินอวกาศให้ไปทำภารกิจตั้งแต่แรกก็ตาม
The Core (2003) – ฝ่านรกใจกลางโลก
เหล่านักวิทยาศาสตร์มือดีในด้านต่างๆ อย่าง ดร. จอช และ ดร. เซอร์ไก ต่างถูกเรียกว่ามารวมตัวกันเร่งด่วน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่สถานที่สำคัญต่างๆ ในโลกนั้นถูกทำลายลงในพริบตายจากการสั่นสะเทือนของเปลือกโลก และยิ่งเมื่อพวกเขาพยายามค้นหาสาเหตุก็ได้พบว่าแท้จริงแล้วเกิดจากแกนโลกที่จู่ๆ ก็หยุดทำงาน ทำให้สนามแม่เหล็กทำงานผิดปกติ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในโลกอย่างกะทันหัน และหาปล่อยทิ้งไว้โลกนี้จะถูกทำลายอย่างแน่นอน เหล่าผู้เกี่ยวข้องจึงต้องหาทีมงานเพื่อไปทำภารกิจ ดิ่งทะลุสะดือโลกเพื่อแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้
อีกหนังภัยพิบัติที่หลายคนมองข้ามมันไป อาจด้วยกระแสที่ค่อนไปในทางลบทั้งฝั่งนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปที่ค่อนข้างต่ำในเว็บมะเขือเน่า รวมถึงโปสเตอร์มันก็อาจจะไม่ได้ดึงดูดเท่ไร แต่ส่วนตัวก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นอีกหนังกู้โลกอีกเรื่องที่สนุกไม่น้อยเลย เพราะมันพลิกมุมกลับมาก จากที่มนุษย์โลกเคยเดินทางไปอวกาศมาแล้ว แต่กลับยังไม่เคยสำรวจในส่วนที่ลึกที่สุดของโลกตัวเอง ทำให้มันเลยเป็นการผจญภัยกู้โลกที่น่าสนใจ แม้ว่าหนังมันจะดูเป็นเกรดบีๆ หน่อยก็ตาม
Independence Day (1996) – สงครามวันดับโลก
เดวิด ลีวินสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญญาณคอมพิวเตอร์ ได้ถอดรหัสสัญญาณจากยานอวกาศลึกลับขนาดใหญ่ยักษ์ออกมาได้ พร้อมๆ ยานลูกลำเล็กๆ อีกหลายลำ ว่ามันเป็นสัญญาณที่จะโจมตีโลกพร้อมกัน ซึ่งทางประธาธิบดี วิทมอร์ เองก็ได้สั่งอพยพในทันที แต่นั่นก็ดูเหมือนจะสายเกินไป เมื่อยานทำลายล้างเข้ามาถึงโลก และบุกโจมตีทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้ว่าฝ่ายมนุษย์จะรับมืออย่างไร ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ไปซะหมด คนที่เหลือรอดจึงต้องแข่งกับเวลา เพื่อทำลายเกราะของยานและเพื่อขับไล่ต่างดาวกลับไปให้ได้
ถ้าเป็นคนยุค 90s เราคงไม่ห่วงเพราะเชื่อว่าพวกเขาคงได้โตมากับหนังเรื่องนี้ และได้ดูกันหมดอยู่แล้ว แต่สำหรับคนรุ่นหลังจากนี้ ที่อาจจะได้ดูภาค Resurgence ในปี 2016 แล้วไม่ชอบ ก็อยากจะให้ลองมอบโอกาสให้กับต้นตำหรับในปี 1996 นี้ดู เพราะตัวหนังน่าจะคลาสสิคและจัดเต็มถูกใจกว่ามากๆ รวมถึงฉากที่น่าจดจำก็ยังมีมากกว่าภาคใหม่เยอะ ประกอบกับภารกิจในภาคแรกก็ดูโคตรหิน และเต็มไปด้วยความชวนลุ้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง Will Smith เองก็เป็นตัวละคนที่เท่มากๆ จนทำให้ภาคต่อขาดสีสันไปมากเมื่อขาดเขาไป
Deep Impact (1998) – วันสิ้นโลก ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย
ลีโอ บิเดอร์แมน นักดาราศาสตร์หนุ่มที่เพิ่งค้นพบว่ากำลังจะมีดาวหางพุ่งเข้าชนโลกอย่างแน่นอน เขาจึงรีบแจ้งให้กับทางรัฐบาลทราบเพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้ ทำให้สองมหาอำนาจอย่างอเมริกาและรัสเซียจึงต้องร่วมมือกันไปทำภารกิจฝังระเบิดนิวเคลียร์ในดาวหางขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามา เพื่อทำให้มันแตกออกไปก่อนที่จะชนโลกแบบเต็มๆ ผู้คนบนโลกจึงต่างเตรียมใจรับผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงแผนรับมือเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไปหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด
หาก Armageddon คือความบ้าพลังของทีมมหากาฬที่ขึ้นไปหยุดยั้งการมาของอุกกาบาตแล้ว ใน Deep Impact ก็คงเปรียบเสมือนขั้วตรงข้ามที่หันมาสำรวจถึงวิธีการรับมือของผู้เกี่ยวข้องในโลก รวมถึงการทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝั่งของมนุษยชาติแทน จนทำให้หนังมีโทนสโลว์ไลฟ์ และโฟกัสที่พาร์ทดราม่าที่โดดเด่นกว่าแบบที่ไม่ต้องพยายามบิวท์มากนัก เพราะแต่ละตัวละครจะมีโทนแบบการปลง ปล่อยวางกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนทำให้เป็นสิ่งที่ชดเชยฉากแอคชั่นและความหวือหวามาได้เยอะเลย นับเป็นอีกหนังที่คนมักเอาไปเปรียบเทียบกับ Armageddon อยู่บ่อยครั้งจริงๆ
The Day After Tomorrow (2004) – วิกฤติวันสิ้นโลก
แจ็ค ฮอลล์ นักบรรพชีวินวิทยา ที่พบการแยกต้วของน้ำแข็งในแถบแอนตาร์คติก จึงรีบดำเนินการแจ้งกับที่ประชุม แต่กลับไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เมื่ออุณหภูมิของอากาศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดที่มวลมนุษย์เคยเผชิญ ในขณะเดียวกัน แซม ฮอลล์ ลูกชายของเขาก็กำลังจะเดินทางไปตอบคำถามวิชาการกับเพื่อร่วมชั้น ก็ได้เผชิญกับเหตุการณ์คลื่นลูกยักษ์ที่ซัดเข้ามาในเมืองพอดี พร้อมกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แจ็คจึงเดินทางขึ้นไปเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเขา
สำหรับ The Day After Tomorrow นั้น เหมาะกับคนที่ชอบหนังประเภทภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติถล่มโลก หรือการเอาชีวิตรอดของตัวละครได้เป็นอย่างดี ด้วยฉากเล่นใหญ่หลายๆ ฉากที่พาไปถึงในระดับโลกล่มสลาย ที่แม้ว่าจะดูมีความแฟนตาซี แต่ก็สร้างความตื่นเต้นชวนลุ้นระทึกได้อยู่ไม่น้อย เพราะนักวิทยาศาสตร์ต่างก็ออกมาพูดถึงความสมจริงของเรื่องราวว่ามันดูห่างจากความเป็นจริงอยู่มาก จนคิดว่าหลายๆ คนก็น่าจะชอบหนังวิกฤตโลกร้อนที่รวมฉากมหันตภัยแบบครบรสในเรื่องนี้ได้เช่นกัน
2012 (2009) – วันสิ้นโลก
แจ็คสัน เคอร์ติส ได้พาลูกๆ ทั้งสองคนออกไปเที่ยวอุทยานเยลโล่สโตน และได้เจอเหตุการณ์ประหลาดที่น้ำในทะเลสาบแห้งจดหมด จนทางรัฐบาลต้องดึงตัวเขาเอาไว้ ทำให้เขาได้เบาะแสจากนักจัดรายการวิทยุที่ไม่เต็มบาทว่า ทางรัฐบาลกำลังมีโครงการลับบางอย่าง ในการช่วยเหลือผู้คนกลุ่มหนึ่งขึ้นเรือลำยักษ์ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถล่มโลก ทำให้ แจ็คสัน จึงต้องเตรียมการพาครอบครัวของเขาหนีไปที่สถานที่แห่งนั้นให้ได้ ท่ามกลางมหันตภัยครั้งใหญ่ระดับโลกแตกที่ไล่จี้พวกเขามาติดๆ
สำหรับ 2012 นั้น เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังมหันภัย หรือหายนะที่ถล่มโลกในสเกลที่แบบใหญ่โตจนถึงขนาดโลกจะแตก นี่คือหนังที่เล่นใหญ่พอสำหรับคุณอย่างแน่นอน เพราะมันรวมเอาเอาไว้หลายภัยพิบัติมากๆ แถมฉากก็ยังใหญ่จัดเต็มจัดหนัก ถล่มกันแบบถึงใจ และฉากเอาชีวิตรอดที่ชวนลุ้น ไม่ว่าจะเป็นผ่านพาหนะรถยนต์ เครื่องบิน หรือบนเรือก็มีจัดให้อย่างครบถ้วน ทั้งแผ่นดินไหว คลื่นซัด น้ำท่วม ลาวาถล่มก็มาครบ แต่ที่น่าเสียดายก็คือคนที่คาดหวังประเด็นที่เข้มข้น หรืออยากเห็นสาระมากกว่านี้จะต้องผิดหวัง แต่สำหรับคนที่ชอบหนังหายนะแบบดูเอามันส์แล้ว ก็น่าจะสะใจไปกับการถล่มโลกครั้งใหญ่รอบนี้แน่ๆ
Geostorm (2017) – เมฆาถล่มโลก
เมื่อโลกของเราได้เผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง และเกิดความเสียหายมากมาย จนทำให้เหล่า 17 ประเทศผู้นำของโลกทั้งหลายจึงมีความคิดที่จับมือกันสร้างระบบดาวเทียมเพื่อควบคุมอากาศในโลกนี้ และให้นานาชาติเป็นผู้ร่วมกันสร้างข้อตกลงและควบคุมสิ่งนี้ เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่างๆ แต่แล้วก็ดันเกิดความผิดพลาด เมื่อระบบที่ว่าเกิดความปั่นป่วน จนทำให้สภาพอากาศบนโลกแปรปรวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้ เจค อดีตหัวหน้าสถานีอวกาศที่ถูกไล่ออกมา ต้องกลับไปแก้ไขสถานการณ์นี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
อีกหนังที่ทำหลายๆ คนผิดคาดไปมาก เพราะจากหน้าหนังและตัวอย่างที่ดูเหมือนจะออกมาเป็นหนังถล่มโลก แต่จริงๆ แล้วภายในมันกลับมีหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเครื่องควบคุมสภาพอากาศ ความเป็นหนังสายลับที่ต้องตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ เพื่อหยุดยั้งสิ่งที่จะเกิด ความดราม่าครอบครัวต่างๆ ไปจนถึงประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ ที่ค่อนข้างผสมผสานกันออกมาได้อยากกลมกล่อมลงตัว จนกลายเป็นหนังภัยพิบัติที่ดูแปลกใหม่จากในตลาด แต่สนุกมากเลยทีเดียว
Moonfall (2021) – วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก
หนังใหม่ล่าสุดของผู้กำกับจอมทำลายล้างอย่าง Roland Emerich ที่คราวนี้จะทำให้ทุกการถล่มที่ผ่านมาดูเบาบางลงไปเลย เพราะการถล่มโลกในครั้งนี้คือการเอาดวงจันทร์มาพุ่งชนโลก จนไม่มีทางหนี ไม่มีทางรอด จนเป็นอีกภัยพิบัติที่จะทำให้ชีวิตมนุษยชาติดับสูญ และเป็นอวสารของโลก มีเพียงการร่วมมือของเหล่านักวิทยาศาสตร์และนักบินอวกาศกลุ่มนึงเท่านั้นที่จะมาร่วมมือกัน เพื่อแก้ปัญหานี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าบนดวงจันทร์ก็ดันมีความลับใหญ่หลวง ที่รอคอยพวกเขาอยู่เช่นกัน