LeeByungHun_00

รวม 8 หนังของ Lee Byung-Hun อีกดาราเกาหลีโกอินเตอร์สุดปัง

หากจะพูดถึงดาราเกาหลีที่ดังระดับโลกอีกคนก็คงหนีไม่พ้น Lee Byung-Hun หรือที่คนไทยเรียกกันว่า อีบยองฮอน ที่รับรองได้ว่าคนดูหนังทั้งหลาย ย่อมน่าจะเคยเห็นพี่แกออกมาโลดแล่นในหนังหลายๆ เรื่อง พร้อมกับบทที่น่าจดจำ แม้ว่าจะไม่ได้ดูหนังเกาหลีก็ตาม ก็มักจะได้เห็นเขาในหนังใหญ่ๆ มากมายในวงการ Hollywood ที่มักใช้บริการเขาประจำเมื่ออยากได้ตัวละครแบบล่ำๆ เท่ๆ

ซึ่งเขาเองแม้ว่าจะปาเข้าไปอายุ 52 ในปีนี้แล้ว แต่ความเท่ และกล้ามแน่นยังมีอยู่เหลือล้น จนทำให้ก็ยังมีงานเข้ามาเรื่อยๆ แม้ว่าในตอนต้นของชีวิตเขาจะไม่ได้วาดฝันที่จะมาเป็นดารา แต่จากการที่ไปออดิชั่นในช่อง KBS ในปี 1991 ก็ทำให้เขาได้โลดแล่นในวงการนี้ตลอดมา แถมยังดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาพลุแตกกับ Iris ซีรีส์ดังจากเกาหลีที่ต้องมีฉบับ The Movie กันเลยจนไม่แปลกนักที่เขาจะได้ก้าวเข้าสู่วงการ Hollywood แบบเต็มตัวจาก G.I. Joe: Rise of the Cobra ที่หนังประสบความสำเร็จด้านรายได้ไม่น้อยเลย จนกระทั่งมาถึงวันนี้ถึงหนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Emergency Declaration เข้าฉายแล้ว ใครแฟนคลับพี่แก ก็ต้องตามไปเก็บกันแน่นอน!

1. Bungee Jumping of Their Own (2001)

อินวู และ แทฮี 2 หนุ่มสาววัยรุ่นมหาวิทยาลัย ที่อยู่ด้วยกันจนเกิดเป็นความรัก จนวันหนึ่งทั้งคู่ไปร่วมกันอธิษฐานของให้ความรักของทั้งคู่อยู่เป็นนิรันดร์และกระโดดบันจี้จัมป์กันลงมา แต่แล้ววันหนึ่ง แทฮี กลับหายไปจากชีวิตของ อินวู ตลอดกาล เมื่อเวลาผ่านไป 17 ปี อินวู ได้ใช้ชีวิตตามปกติพร้อมกับมีครอบครัวที่น่ารักแล้วแล้ว จนได้มาทำอาชีพเป็นครู เขาได้พบกับนักเรียนชายคนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับ แทฮี อย่างน่าประหลาด รวมถึงเรื่องที่พวกเขารู้กันเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น

หนังที่มีพล็อตเรื่องชวนประหลาดใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความละมุนละไมอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งความเจ๋งนั้น ก็ไปต้องตาพี่มะเดี่ยว ชูเกียรติ จนกระทั่งเอามาทำเป็นหนังไทยอย่าง “ดิว ไปด้วยกันนะ” ขึ้นมา พร้อมกับใส่ความเป็นไทยลงไปแทน ซึ่งตัวต้นฉบับเองก็นับว่าทำออกมาได้ดี และ อีบยองฮอน ก็เล่นเป็นหนุ่มใสซื่อในยุคนั้นได้อย่างน่าสนใจ จนกระทั่งบทตอนโตเขาก็ทำมันได้ดี จนหนังก็กลายเป็นที่พูดถึง และเกือบจะได้รีเมคเป็นซีรีส์ไปแล้วด้วยเหมือนกัน

2. A Bittersweet Life (2005)

ซุนวู ผู้จัดการโรงแรมหรู แต่พ่วงด้วยตำแหน่งลูกน้องมาเฟียมือดี ที่บอสใหญ่สั่งให้เขานั้นไปเฝ้าดูแฟนเด็กเพราะไม่แน่ใจว่าแอบมีคนอื่นหรือไม่ ทำให้ ซุนวู ก็ดำเนินตามคำสั่งและไปพบแฟนสาวของหัวหน้ามีชู้อยู่ตามคาด แต่แล้วด้วยความใจอ่อน แทนที่จะเก็บทั้งคู่ ก็ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ทำตามสั่ง เลยทำให้เรื่องบานปลายจนทำให้เขาถูกลงโทษ จนต้องออกมาตามแก้แค้นแก๊งกันในภายหลัง

หนังธีมนักฆ่าธีมเหงา ที่พยายามใส่สไตล์ความอาร์ทเข้าไป เพื่อให้จากหนังแก้แค้นธรรมดาๆ ดูมีอะไรมากขึ้น อีกทั้งด้วยความที่เกาหลีมีของดีอย่างความโหด ดิบ เถื่อน อยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มันกลายเป็นหนังล่าล้างแค้นแบบแกีงสเตอร์ที่สไตล์จัดจ้าน เข้มข้นเลยทีเดียว ซึ่ง อีบองฮยอน ก็รับบทตัวเอกได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็มีความเท่อยู่แล้ว พอมาใส่ความมีมิติ ใส่อารมณ์ที่ซับซ้อนของตัวละครเข้ามันก็ไม่แปลกที่มันจะกลายเป็นอีกบทบาทที่น่าจดจำของเขาเลย ใครชอบหนังสไตล์แบบ Drive ต้องขอแนะนำไว้จริงๆ

3. Iris (2009)

ฮยอนจุน และ ซาวู สุดยอดสายลับมือฉมังขององค์กร ที่เคยสาบานกันไว้ว่าจะเป็นคู่หูพี่น้องกันไปตลอดชีวิต แต่แล้วการเข้ามาของ ซอยซังฮี สายลับสาว ก็ทำให้มิตรภาพของทั้งคู่สั่นคลอน เพราะสายลับทั้งสองต่างก็ชอบ ซอยซังฮี ทั้งคู่ จนกรทั่งถึงภารกิจหนึ่ง ที่ประเทศฮังการี ที่ฮยองจุนทำภารกิจจนสำเร็จ แต่ทุกอย่างกลับผิดแผนไม่แผนไม่เป็นท่า เพราะมีคนในหักหลังเขาอยู่ เขาจึงต้องหนีเอาตัวรอด และกลับมาเพื่อล้างแค้นคนที่ทำกับเขาเอาไว้

อีกหนึ่งซีรีส์โคตรดังที่น่าจะสร้างชื่อให้กับ อีบยองฮอน ได้อย่างเต็มพิกัด เพราะนอกจากจะฝากผลงานเท่ๆใน A Bittersweet Life แล้ว ก็มารับบทสายลับตัวเอกแบบเต็มตัวอีกครั้งในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นซีรีส์ที่คนติดกันแบบงอมแงมมาก ด้วยความที่เรื่องราวมีความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีการหักหลังจนเนื้อเรื่องพลิกไปมาอยู่ตลอด แถมฉากแอคชั่นก็ยังทำออกมาได้ดีถึงใจ และมีความเป็นสากลมากๆ จากฉากหลังหลายประเทศ จนทำให้เรื่องนี้ได้เข้ามาฉายในไทยทางช่อง 7 อยู่เหมือนกันในชื่อ นักฆ่าล่าหัวใจเธอ และเป็นกระแสอยู่ไม่น้อยเลย

4. G.I. Joe: The Rise of Cobra (2009)

ในอดีตนั้นบรรพบุรุษตระกูลแมคคัลเลน ได้ก่อวีรกรรมอันเลวร้ายเอาไว้ จนถึงขั้นถูกประหารชีวิต แต่เขาก็ยังทิ้งผู้สืบทอดเอาไว้มาจนถึงยุคอนาคตอันใกล้ ซึ่งแมคคัลเลนในยุคนี้ก็ยิ่งใหญ่มาจากการสร้างอาณาจักรของธุรกิจผลิตอาวุธ และนำไปสู่การตั้งทีมตัวร้ายเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในโลกใบนี้ จนทำให้เหล่า G.I. Joe ทีมที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเหล่าร้าย และรักษาความสงบสุขของโลก ด้วยสมาชิกมากกความสามารถ พร้อมอุปกรณ์เทคโนโลยีที่สูสีไม่แพ้กัน

หนัง Blockbuster แบบแมสๆ อีกเรื่องที่หยิบเอาของเล่นจากค่าย Hasbro มาทำ มันเลยออกมาค่อนข้างดูเป็นการ์ตูนที่บทเบาๆ แบบดูง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมองอยู่ แต่ด้วยความที่ฉากแอคชั่นมาแบบจัดเต็มเน้น CG เยอะๆ และมีฉากเท่ๆ ก็อาจพอดึงให้หนังมีอะไรตื่นตาตื่นใจได้อยู่เหมือนกัน ส่วน อีบยองฮอน นั้นก็ได้บทเด่นอย่าง Storm Shadow ที่เป็นคู่ปรับตัวฉกาจแห่งสำนักนินจาอย่าง Snake Eyes ที่มามาดแบบที่โคตรเท่ โคตรล่ำกันไปเลย

5. I Saw the Devil (2010)

ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่ง ที่ออกล่าเหยื่อที่ไร้ทางสู้ โดยเน้นไปทางหญิงสาวที่อยู่ในที่เปลี่ยว โดยสภาพเหยื่อของเขามักถูกฆ่าข่มขืน แล้วเอาไปศพที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ไปทิ้งน้ำ แม้แต่ตำรวจเองก็ไม่สามารถหาผู้ที่กระทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ จนกระทั่งเหยื่อรายหนึ่งที่เป็นหญิงสาวท้องอ่อน กลับถูกฆ่าตาย โดยที่สามีของเธอนั้นเป็นสายลับของรัฐบาลเกาหลี จึงออกเดินหน้าตามล่าตัวฆาตกร แต่ถึงเขาจะเจอตัวมัน แต่เขากลับไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ นัก และเขาเลือกที่จะเป็นผู้ล่าและให้มันกลายเป็นเหยื่อแทน จนทำให้รู้ว่าเหนือกว่าคนชั่วก็ยังมีปีศาจที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า

หนังเกาหลีประเภทโหดเลือดสาด ที่เล่นกับอารมณ์คนดูได้อย่างสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใครที่ชอบสายโหดดิบสไตล์เกาหลีอยู่แล้ว น่าจะถูกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหนังจัดเต็มความโหดทรมานบันเทิงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การไล่ล่าของทั้งสองคนก็เต็มไปด้วยการนองเลือดสุดๆ อีกทั้งหนังก็ยังสอดแทรกดราม่าชีวิตของทั้งคู่ไปด้วย โดยเป็นการประชันบทบาทของ ชเวมินซิก ที่ดูบ้ามากๆ ตามสไตล์เขา และได้เห็น อีบยองฮอน ในบทนี้ก็เรียกได้ว่าบ้าไม่แพ้กันเลย ใครชอบสายหนังโหดแล้ว ไม่อยากให้พลาดจริงๆ

6. Terminator Genisys (2015)

สงครามระหว่างคนและจักรกลยังดำเนินต่อไปในปี 2029 ที่ฝ่ายมนุษย์กำลังจะชนะจักรกล จนทำให้ Skynet ถึงกับต้องส่งหุ่นเหล็ก T-800 กลับไปยังอดีตเพื่อฆ่า Sarah Conner ก่อน แต่ฝั่งมนุษย์ก็ส่ง Kyle Reese ตามกลับมาเช่นกัน แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อ Sarah ที่เหมือนจะเป็นเหยื่อกลับกลายเป็นรู้จักกับหุ่นเหล็กที่คอยสอนการเอาตัวรอดเธออยู่แล้ว ทำให้ Kyle และ Sarah ตั้งทำภารกิจใหม่ด้วยการไปหยุดระบบ Genisys ของ Skynet แทน ในขณะที่หุ่น T-1000 ก็ออกตามล่าพวกเขาเช่นกัน

แม้ว่ามันจะเป็นภาคที่หลายคนยี้กันมากๆ แต่ส่วนตัวกลับรู้สึกว่ามันเป็น Timeline แตกแขนงที่ทำออกมาได้สนุก มีเรื่องราวที่มาที่ไป แม้ว่าจะแถไปเยอะก็ตาม แต่มันก็เป็นการใส่ความแปลกใหม่ ทุกอย่างพลิกผันกลับด้านไปหมด จนเรียกได้ว่าหากใครไม่ชอบก็น่าจะเกลียดกันไปเลย ซึ่งภาคนี้ก็มีหุ่นเหล็กไหล T-1000 กลับมาอีกครั้ง ที่แม้ว่า Lee Byung-Hun จะน่ากลัวสู้ฉบับตำนานอย่าง Robert Patrick ไม่ไหว แต่ความหน้านิ่งหน้าตาของเขาก็เหมาะที่จะเป็นตัวร้ายในภาคนี้ดีอยู่เหมือนกัน

7. Ashfall (2019)

เมื่อภูเขาไฟเพ็กตู ในเกาหลีดันเกิดระเบิดครั้งใหญ่จนทำให้แผ่นดินไหวสะเทือนไปทั้งแผ่นดินเกาหลี ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดเกาหลีใต้ต้องออกโรง โดยการไปร่วมมือกับเจ้าหน้าที่พิเศษเกาหลีเหนือที่ดูเหมือนไม่น่าไว้วางใจ เพื่อร่วมกันไปทำภารกิจระเบิดฐานภูเขาไฟเพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงขึ้น ในขณะเดียวกันพวกเขาต่างก็ไม่เชื่อใจกันเองในการทำภารกิจครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ชะตากรรมของคนในประเทศเกาหลีเหนือและใต้นั้นอยู่ในมือพวกเขาสองคนแล้ว

หนังภัยพิบัติจากภูเขาไฟระเบิดที่ดูไปเหมือนกลายเป็นหนังแอคชั่นกึ่งๆ สายลับมากกว่า เพราะฉากแนวเมืองถล่มแผ่นดินทลายก็มีแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น และส่วนมากจะเป็นแนวบู๊ๆ แบบไล่ยิงกันบ้าง เตะต่อยกันบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าออกมาสนุก ฉากถล่มใหญ่ๆ ในตอนต้นก็ทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจแม้ว่างานด้าน CG อาจจะดูลอยๆ ไปนิด ส่วนที่อาจจะยังไม่ใช้ไม่คุ้มนักก็คือดาราอย่าง แบซูจี กับเฮียมาดงซ็อก ที่ออกมาน้อยและแทบไม่มีอะไรน่าจดจำ ส่วนที่เหลือก็นับว่าดูเพลินได้อยู่มาก 

8. Emergency Declaration (2022)

เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งที่กำลังเดินทางจากโซล ไปสู่เกาะฮาวาย กลับมีผู้โดยสารเสียชีวิตแบบเป็นปริศนา เหมือนโดนอาวุธชีวภาพ จนสร้างความโกลาหลให้กับผู้คนทุกคนบนเครื่อง จนทำให้กัปตันจึงขอตัดสินใจลงจอดเพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ทว่าความไม่แน่นอนของเชื้อและการไม่รู้ที่มาที่ไป จึงทำให้ไม่สามารถเอาเครื่องลงได้ เพราะไม่ว่าที่ไหนก็อยากให้ลงจอด ทำให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องต่างต้องช่วยกันหาวิธีเพื่อให้ทุกคนรอดจากสถานการณ์อย่างปลอดภัยให้ได้

หนังเกาหลีชั้นดีอีกเรื่องของปี ที่ได้รับคำชื่นชมมาตั้งแต่ตอนที่ไปฉายที่เมืองคานส์มาแล้ว และได้รับการปรบมืออย่างยาวนาน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะหนังทำออกมาสำหรับคอระทึกขวัญได้แบบจัดเต็มมาก เรียกว่าเข้มข้มในทุกอณู การกระจายบทเองก็ใช้ดาราได้คุ้ม การพุ่งทะยานของหนังก็ประหนึ่งรถไฟเหาะที่ทำเอาลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ จนหลายคนจะเรียกว่าเป็น Train to Busan ของปีนี้ก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก ใครที่ชอบแนวนี้ขอแนะนำว่าต้องไปดูที่โรงเท่านั้น เพื่ออรรถรสแบบเต็มที่จริงๆ