SpiderManTobey_00

6 สิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้ ใน Spider-Man ฉบับ Tobey Maguire

กว่าจะมาถึง Spider-Man ภาค No Way Home ที่ถูกอกถูกใจหลายๆ คนจากแฟนเซอร์วิสระดับจัดเต็มแบบนี้ ก็มี Spider-Man ก่อนหน้าหลายภาค และก็มี 2 เวอร์ชั่นดังทั้ง Tobey Maguire และ Andrew Garfield ที่เปรียบเสมือนเป็นไอแมงมุมรุ่นพี่มาก่อน ซึ่งเนื่องจากน้อง Tom ก็เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันที่คนน่าจะพูดถึงกันเยอะแล้ว เนื้อหาในวันนี้เราจึงอยากจะพาแฟนเพจโกดังหนัง ย้อนกลับสู่ฉบับ Tobey Maguire กันสักหน่อย

เพราะฉบับนี้นับเป็นอีกฉบับที่โด่งดังมากแบบครบเครื่องครบรส และน่าจะเป็นอีกเวอร์ชั่นที่ทำให้หลายคนเข้ามาเป็นแฟนคลับฮีโร่ตัวนี้ในฉบับหนังกันได้ไม่ยาก ด้วยการสร้างเรื่องราวสุดแฟนตาซี ฉากโหนใยแบบสุดตระการตา (ในยุคนั้น) การสร้างวายร้ายที่ชวนเห็นใจ ไปจนถึงฉากแอคชั่นที่ดูสนุกเหลือเกิน จนไม่แปลกใจหากจะมีใครที่ชื่นชอบในเวอร์ชั่นนี้สุดๆ เลยจะขอหยิบเอาเกร็ดต่างๆ ที่น่าสนใจในภาคนี้มาเล่าให้อ่านกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาอ่านกันได้เลย

Leonado DiCaprio เกือบได้บท Peter Parker

แน่นอนว่าโปรเจคใหญ่ๆ ก็ย่อมมีชื่อดาราดังๆ ผลุบโผล่ๆ ใน Project เป็นเรื่องปกติ สำหรับ Spider-Man ฉบับนี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะก็มีชื่อของดาราดังๆ ในยุคนั้นอย่าง Colin Farrell, Heath Ledger หรือแม้กระทั่ง Ewan McGregor ก็เคยกลายเป็นตัวเลือกของ Peter Parker เหมือนกัน ที่ยิ่งไปกว่านั้น Leonardo DiCaprio ก็เคยมีชื่อในลิสท์อันดับต้นๆ เพราะค่ายอยากได้ดาราที่ดึงดูดคนดูได้ 

แต่สุดท้ายแล้วผู้กำกับ Sam Raimi ที่เป็นแฟนคอมมิคของ Spider-Man กลับอยากได้นักแสดงที่ดูธรรมดา เพราะมองว่าอยากให้คนมาดูที่ตัวหนังมากกว่าดารา และอยากสร้างภาพของคนธรรมดาที่อยากช่วยเหลือผู้คนในเมือง ก็เลยเปิดแคสตัวใหม่และได้ Tobey Maguire ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ Leo ในช่วงนั้นเข้ามารับบทนี้ ซึ่งก็กลายเป็นการตัดสินใจที่เฉียบแหลมซะเหลือเกิน

James Cameron เกือบได้ทำ Spider-Man ฉบับนี้

หลังจากที่ Jame Cameron กลายมาเป็นผู้กำกับระดับ A List จากความสำเร็จของ Terminator 2: Judgement Day เขาก็ได้เตรียมบทเอาไว้ในการทำหนัง Spider-Man โดยไอเดียของเขาคือการเอาวายร้ายอย่าง Electro มาใช้ในภาคแรก แทนที่จะเป็น Green Goblin ในแบบที่เราเห็นกันในฉบับ Sam Raimi แต่แล้วก็ดันเกิดเหตุเสียก่อน เมื่อเขาเองต้องไปทำหนังอย่าง True Lies และลิขสิทธิของ Spider-Man ก็ถูกเปลี่ยนมือย้ายค่ายไปพอดีเนื่องจากค่ายเก่าที่ล้มละลาย เลยทำให้สุดท้ายแล้วเมื่อจังหวะอะไรช่างไม่ลงตัว เขาก็เลยไปทำ Titanic และครองแชมป์หนังรายได้สูงสุดอันดับ 1 มายาวนานเหลือเกิน

รปภ ในกองถ่ายขโมยชุด Spider-Man

หลังจากที่หนังดังเป็นพลุแตกขึ้นมา แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Spider-Man ก็มีราคาทะยานสูงขึ้นในทันที ของที่อยู่ในกองถ่ายหลายอย่างก็กลายเป็นของมีค่า รวมถึงชุดของ Spider-Man ในเรื่องเองก็มีราคาสูงถึง $50,000 ซึ่งนับว่าสูงมากในขณะนั้น เลยทำให้มันถูก รปภ. ของ Sony นามว่า Jeffrey Glenn Gustafson ขโมยมันออกไป แถมเมื่อจับได้ยังจะพบอีกว่า เขายังเคยขโมยชุด Batman จากค่าย Warner Bros ที่มีมูลค่ากว่า $150,000 มาแล้วอีกด้วย

Wolverine เกือบได้เป็น Cameo ในนี้

ในสมัยที่จักรวาล Marvel Cinematic ยังไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบทุกวันนี้ หนังแต่ละเรื่องค่ายจึงมีลักษณะที่ต่างคนต่างอยู่เป็นส่วนมาก แม้ว่าก่อนหน้าจะมีหนังอย่าง X-Men ภาคแรกของผู้กำกับ Bryan Singer เข้าฉายตั้งแต่ปี 2000 และมี Spider-Man ตามมาในปี 2002 จึงมีข่าวออกมาว่า Wolverine ที่แสดงโดย Hugh Jackman นั้นจะเข้ามาเป็น Cameo ใน Spider-MAn ฉบับนี้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่เคยเกิดขึ้น

ครั้งหนึ่ง Hugh Jackman เคยให้สัมภาษณ์กับทาง The Huffington Post เอาไว้ว่า เขาอยู่ใน New York ในช่วงเวลาที่ Spider-Man กำลังถ่ายทำอยู่แล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายแล้วค่าย 20th Century Fox กลับหาชุด Wolverine ให้เขาเข้าไปแจมไม่ได้ เราก็เลยไม่มีโอกาสได้เห็นโอกาสที่ว่ากัน

Tobey Mcguire เล่นเองในฉากที่ต้องรับอาหารที่ตกลงมา

หนึงในฉากที่น่าจดจำที่สุดของ Spider-Man ภาคแรกนั้น ก็คือฉากที่ Peter Parker เพิ่งค้นพบตัวเองใหม่ๆ และได้สัญชาตญาณแมงมุม (Spider Sense) มา เลยเข้าไปช่วย Mary Jane ได้ทันในตอนที่เธอลื่นล้ม อีกทั้งยังรับอาหารที่ลอยขึ้นฟ้าได้ทั้งหมด ลงในถาดที่เตรียมเอาไว้ แม้ว่าฉากนี้จะดูเป็นความสามารถที่เหนือมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วมันกลับเป็นฉากที่ Tobey Maguire นั้นแสดงเอง และรับของทุกอย่างเอาไว้ โดยแลกมากกับการถ่ายทำไป 156 เทค กับฉากนี้

บทตั้งต้นเกือบจะเป็นการตายของ Gwen Stacy แล้ว

The Night Gwen Stacy Died (ใน Comic เล่ม 121-122) คืออีกพาร์ทที่ชีช้ำที่สุดของฮีโร่อย่าง Spider-Man ซึ่งมันเกือบจะกลายมาเป็นบทของ Spider-Man ในฉบับแรกซะแล้ว เพราะในตอนนั้นผู้กำกับที่ดูเหมือนจะเข้ามากุมบังเหียนก็คือ David Fincher จาก Seven ที่จะมาปรับ Spider-Man ให้เป็นโทนมืดหม่น และงานสุดเนี้ยบที่จะมองข้ามการเล่าที่มาที่ไป แต่ไปโฟกัสที่ความสูญเสียของ Spider-Man จากความตายของ Gwen Stacy แทน

แต่สุดท้ายเมื่อเปลี่ยนมือผู้กำกับแล้ว ไอเดียนี้จึงถูกพับไป จนกระทั่งมีการเอามาใช้อีกครั้งในหนัง The Amazing Spider-Man 2 (2014) ที่ทำออกมาได้เศร้าจุกอกมาจนถึงทุกวันนี้เลย