BondEasterEggs_00

5 Easter Eggs ถึงภาคเก่าๆ ที่คุณอาจพลาดไปตอนดู No Time To Die

เชื่อว่าผ่านมาถึงสัปดาห์นี้ หลายๆ คนน่าจะได้ไปตามเก็บ 007 No Time to Die กันในโรงภาพยนตร์มาแล้ว และน่าจะได้อิ่มเอมกับการปิดตำนานของ Daniel Craig ในบทบาทของ James Bond ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสำหรับแฟนๆ ของหนังชุดนี้นั้น รับรองได้ว่าก็จะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ที่คุ้นเคยหรือคุ้นตา จากในหนังกันมาบ้างจากภาคเก่าๆ ที่ได้ดูกันมา เพราะมันมี Easter Eggs อยู่เพียบเลย

ซึ่งหากใครที่ไม่ได้สังเกตเห็น หรืออาจจะไม่ได้ดูภาคเก่าๆ มาก่อน แต่อยากรู้เรื่องราวเหล่านี้ว่ามันมีจุดเชื่อมโยงกันยังไงบ้าง ก็มาถูกที่แล้ว เพราะวันนี้ทางโกดังหนังได้ทำการรวบรวมมาให้ว่า Easter Eggs ไหนเจ๋งๆ บ้างใน Bond ที่เชื่อมโยงไปถึงภาคอื่น แต่ระหว่างดูนั้นกลับมองข้ามไป ลองมาดูกันได้เลย!

ป.ล. บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง No Time to Die หากไม่อยากรู้สามารถข้ามได้เลยจ้า

หลุมศพของ Vesper Lynd

BondEasterEggs_01

สำหรับคนที่ดู Bond ฉบับ Daniel Craig มาตั้งแต่ Casino Royale แล้ว ย่อมรู้จักตัวละครอย่าง Vesper Lynd กันดีอยู่แล้ว ว่าเป็นหญิงสาวผู้ที่เข้ามาละลายหัวใจของ Bond และทำให้เขานั้นตกหลุมรักได้ จนกระทั่งหักหลังกันในท้ายที่สุด จนมันกลายเป็นเสมือนตราบาปที่ยังคงหลอกหลอนเขามาถึงภาคนี้ ทำให้ถึงแม้ว่าเธอจะตายจากไปแล้วในภาคก่อนหน้า แต่บทบาทของเธอก็ยังเป็นบาดแผลอยู่ในใจของ Bond มาโดยเสมอ

ซึ่งในภาค No Time to Die นั้น ในฉากแรกของหนังคือการที่ Bond ต้องการจะไปละทิ้งความทรงจำแย่ๆ ของเขา เพื่อให้ได้มูฟออนต่อไป แต่ในขณะที่เขากำลังเคารพศพ พร้อมทั้งเผากระดาษคำว่า ‘Forgive Me’ อยู่นั้น กลับโดนระเบิดกระเด็นออกมาเสียก่อน จากที่วายร้ายออย่าง Blofeld ได้จัดการเอาไว้ ซึ่งในฉากนี้เป็นอีกหนึ่งการคารวะ Bond ภาค For Your Eye Only (1981) ที่มีฉากเปิดที่คล้ายกันในการที่ Bond กำลังไปเคารพศำของคนรักเก่าอย่าง Tracy ก็ถูก Blofeld ลอบทำร้ายเช่นกัน

Felix อีกสายลับคนสนิทของ Bond

Felix Leiter นั้น จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ตัวละครใหม่ในโลกของ Bond แต่อย่างใด เพราะเขาเป็นเพื่อนสหายสายลับที่มีการช่วยเหลือภารกิจมาแต่ช้านานตั้งแต่ในเวอร์ชั่นก่อนๆ แล้ว ซึ่งในภาคนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Felix ก็มีเชื่อมโยงอยู่กับภาคเก่าอยู่ถึง 2 จุด นับตั้งแต่สิ่งที่ Felix เล่าให้ Bond ฟังว่าเขานั้นเคยโดนฉลามกัดในฉากที่พวกเขาอยู่ในบาร์ ก็เป็นการเชื่อมโยงไปถึงภาค Licence to Kill (1989) ที่ตัวละครอย่าง Felix เคยถูกเจ้าพ่อค้ายาเสพติดแก้แค้นด้วยการมัดเขาแล้วหย่อนลงไปในบ่อฉลามที่กำลังหิวโหย จนโดนฉลามกัดจนขาขาด

ไปจนถึงอีกฉากที่หลังจาก Felix ได้เสียชีวืตหลังจากที่โดน Ash ผู้ช่วยใหม่ของเขายิง พร้อมทั้งระเบิดสถานีกลางน้ำทิ้งจนทำให้ Felix ต้องตาย แต่หลังการเสียชีวิตของเขา ทำให้ Bond คับแค้นใจไม่น้อย ในการเผชิญหน้ากันอีกครั้งกับ Ash ในวินาทีความเป็นความตาย Bond ก็ได้มอบความตายให้กับ Ash ด้วยการดันรถที่คากับต้นไม้อยู่ให้ไปทับ Ash ซะ ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมานั้นจะมีฉากที่ Bond ฆ่าคนด้วยการให้รถทับอยู่ แต่ก็ไม่มีฉากไหนที่จะเป็นฉากจำได้เหมือนภาค For Your Eyes Only (1981) ที่ Bond ถีบซัดตัวร้ายที่อยู่ในรถให้ตกหน้าผาเพื่อล้างแค้นเหมือนกัน

ฉากเปิดแบบ Dr No

แม้ตัวร้ายภาคนี้ของหนังจะไม่ใช่การกลับมาของ Dr No หรือเกี่ยวข้องอะไรกับภาคแรกของหนังชุดนี้ แต่ฉากเปิดก็ดูเหมือนจะขอไปคารวะตั้งแต่ภาคแรกที่เป็นจุดกำเนิดของหนังชุดนี้กันด้วย โดยหลังจากฉากรถไล่ล่าสุดดุเดือดในฉากแรกที่ทำให้ Bond เกิดความเข้าใจผิดในตัวของ Madeleine ก่อนที่จะจบลงด้วยการที่เขาส่งเธอขึ้นรถไฟแยกจากกันไป ในฉากเปิดของเพลง James Bond ภาคนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการเริ่มต้นด้วยจุดสีๆ เช่นเดียวกับของภาค Dr No (1962) แบบเหมือนกันเลย ก่อนที่เพลงของ Billie Ellish จะขึ้นและเปลี่ยนไปเป็นวิชวลสมัยใหม่แบบที่ดูสวยกว่าเดิม (กระสุนปืนยิงออกมาร้อยกันเป็น DNA)

โดยดีไซน์ไตเติ้ลดั้งเดิมของการออกแบบเป็นจุดๆ สีเช่นนี้ใน Dr No นั้นก็มาจาก Maurice Binder กราฟฟิคดีไซน์เนอร์รุ่นเก๋า ที่ผูกขาดการออกแบบฉากเปิดของ Bond ในยุคแรกๆ มาโดยตลอด มาจนถึงภาคนี้ที่ได้ Daniel Kleinman ที่หยิบเอาไอเดียนี้มาทำการคารวะกันในภาคจบสักหน่อย โดยเขาเองก็มีผลงานการออกแบบฉากเปิดใน Bond มาหลายภาคอยู่เหมือนกันนับตั้งแต่ภาค GoldenEye (1995) ของ Pierce Brosnan มา

ประโยคสุดเศร้าอย่าง ‘We have all the time in the world’

นี่คืออีกหนึ่งประโยคที่แฟนๆ Bond น่าจะต้องจดจำกันได้อย่างแน่นอน เพราะนับเป็นอีกประโยคสุดสะเทือนใจ จาก Bond ภาคที่หลายๆ คนโหวตให้เป็นภาคที่ดีที่สุดอย่าง On Her Majesty’s Secret Service (1969) ที่ได้ George Lazenby ที่แม้จะมีภาคน้อยแต่ก็น่าจดจำ สำหรับในพาร์ทความรักของ Bond ที่ทำออกมาได้โดดเด่นไม่เหมือนใคร ซึ่งประโยคนี้นั้นเคยออกมาจากปากของ Bond เองในการกล่าวถึง Tracy ภรรยาของเขา ที่ถูกสังหารโหดโดยกลุ่ม Spectre ภายหลังจากที่พวกเขานั้นเพิ่งแต่งงาน และขับรถออกมากัน เขาจึงกอดร่างของ Tracy พร้อมพูดประโยคนี้ออกมา หรือจะแปลได้ว่า ‘พวกเราต่างมีเวลาทั้งหมดในโลกใบนี้’

แน่นอนว่าเมื่อประโยคนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในภาคนี้ คนดูเองที่จำมันได้ก็น่าจะรู้ชะตากรรมของตัวละครกันในทันทีว่าชะตากรรมชีวิตของเขาจะจบลงอย่างไร แต่แทนที่ภาคนี้จะทำให้ Bond ต้องเสียคนรักไปแบบภาคก่อน กลับเป็นเขาเองที่ต้องลาโลกนี้ไปด้วยความเสียสละที่จะไม่ให้เชื้อนาโนนั้นแพร่ไปสู่คนรักของเขาซึ่งก็คือทั้งตัว Madeleine และลูกสาวของเขานั่นเอง อีกทั้งเพลงในชื่อเดียวกันของ Louis Armstrong ก็ถูกเปิดขึ้นมาใช้ในช่วงเครดิตท้ายเรื่องเพื่อลากอารมณ์คนดูไปได้อีกเหมือนกับภาค On Her Majesty’s Secret Service ที่ผ่านมา

อนุสรณ์ M คนเก่า

BondEasterEggs_05

ในฉากหนึ่งที่เกิดขึ้นในตึกใหม่ของ MI6 นั้น ก็คือตอนที่ M คนล่าสุดที่รับบทโดย Ralph Fiennes นั้นเรียก Bond กลับมาพูดคุย แต่ Bond กลับโดนริบรหัสจนเดินออกมาจากห้องและผ่านโถงบริเวณหนึ่งที่เต็มไปด้วยกรอบรูปของหน้าดาราที่แฟนๆ Bond คุ้นเคยทั้ง 3 รูป นั่นก็คือบรรดาผู้ที่เคยรับบท M ในหนังชุด Bond ที่ผ่านมาทั้งหมด นับตั้งแต่ Bernard Lee ที่รับบท M มาตั้งแต่ Dr No (1962) ภาคแรกมาจนถึง Monnraker (1979) มี Rober Brown ที่เล่นเอาไว้ 4 ภาคตั้งแต่ Octopussy (1983) ไปจนถึง The Living  Daylights (1989)

มาจนถึง Judie Dench ที่รับบทเป็น M ผู้หญิงคนแรกในยุคที่ Bond ต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งเธอก็รับบทนี้มาได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ความแข็งแกร่ง ดุดัน และการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ในขณะที่ก็มอง Bond เหมือนลูกชายตัวแสบไปด้วย โดยเธอนั้นรับบทเป็น M มาตั้งแต่ภาคแรกของ Pierce Brosnan อย่าง GoldenEye (1995) ข้ามมาจนถึงภาค Skyfall (2012) ของ Daniel Craig ที่เป็นการปิดตำนานที่สวยงามให้กับเธออย่างแท้จริง