5 ข้อคิดที่เรียนรู้ได้ จากเกมเอาชีวิตรอดใน Alice in Borderland

เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ดู Alice in Borderland 2 จบกันไปแล้ว และน่าจะรู้สึกชอบไปในทางเดียวกันแน่ๆ เพราะมันดัดแปลงจากมังงะต้นฉบับออกมาได้ดีมากๆ แม้ว่าจะไม่ได้ตรงตามของเดิมแบบ 100% แต่มันก็มีลูกเล่นในการดัดแปลง และยังเก็บหัวใจของเรื่องราว และความลุ้นระทึกในเกมได้อย่างครบถ้วนทุกประการมาตั้งแต่ใน Season แรกแล้ว จนไม่แปลกใจที่ทั้งคนดูทั่วไป และแฟนๆ จะชอบกันมากขนาดนี้

ซึ่งส่วนหนึ่งเองต้องชื่นชมตัวมังงะต้นฉบับ ที่คิดเรื่องออกมาได้ดีมากๆ และไม่ใช่เป็นแค่เกมให้เอาชีวิตรอดเฉยๆ แต่ภายในนั้นมันยังมีข้อคิด ปรัชญาชีวิตมากมาย ที่พูดถึงเรื่องของคุณค่าชีวิต และมีตัวละครที่แสดงแนวคิดที่น่าสนใจเต็มไปหมด ถ้าหากใครพอจะสังเกตก็น่าจะได้อะไรกลับไปมากกว่าความบันเทิงอย่างแน่นอน วันนี้ทางโกดังหนัง ก็เลยอยากมาชวนคุยถึงแง่คิด ข้อคิดที่ได้จาก Alice in Borderland กัน ว่าดูแล้วได้อะไรกันมาบ้าง

1. ทุกคนมีคุณค่า โดยที่ไม่ต้องพยายามเป็นที่หนึ่ง

หากดูจากแต่ละตัวละครในเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า ตัวละครหลักส่วนมากนั้น มาที่โลกแห่งนี้ด้วยความที่หมดอาลัยตายอยากกับโลกเดิม เพราะเป็นชายขอบของสังคมที่ไม่ได้รับการยอมรับ อย่าง อลิส และเพื่อนๆ ของเขา ก็เข้ามาในโลกนี้ ด้วยความที่สังคมที่กดดันพวกเขา ตัว อลิส เอง แม้ว่าจะเป็นคนที่สมองที่ดี ในการแก้ปัญหาต่างๆ แต่ในโลกความเป็นจริง เขาก็โดนเปรียบเทียบกับน้องชายที่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนมากกว่า จนทำให้เขากลายเป็นคนไม่มีตัวตนไป

ความน่าเศร้าก็คือ สังคมต้องการคนที่เป็นอันดับต้นๆ คนที่เป็นที่หนึ่ง ทุกคนเลยพยายามแข่งขันกันเพื่อไปถึงจุดนั้นตามสภาพของสังคม โดยที่จริงแล้วคุณค่าและความสุขของทุกคนนั้นไม่ได้เป็นการต้องเป็นที่หนึ่ง บางคนเก่งได้หลายอย่าง ตามความถนัดตัวเอง ก็สามารถทำได้หลายอย่าง มีความสุขได้กับหลายๆ อย่างเช่นกัน ดังนั้น อย่าให้สังคมมาเป็นตัวกำหนดว่าเราต้องไปในทิศทางไหน เพราะมีแค่ตัวเราเท่านั้นที่บอกได้ว่า เราทำอะไรแล้วมีคุณค่าและมีความสุขตามมา

2. เพื่อนที่แท้จริง ย่อมไม่หักหลังกัน

เกมที่โหดร้ายที่สุดในโลกของ Borderland ก็คือ เกมโพแดง ที่กลุ่มของ อลิส ได้เผชิญหน้ากับมันครั้งแรกในเกมซ่อนหา ที่ทุกคนต้องเป็นแกะ และจะมีหมาป่า 1 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต เลยทำให้พวกเขาในช่วงแรกจึงพยายามที่จะได้สถานะหมาป่ามาไว้ที่ตัว เพื่อให้รอดชีวิตไปจากเกมนี้โดยลืมมิตรภาพก่อนหน้ากันมา แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณค่าของมิตรภาพก็เป็นตัวทำให้ทุกคนกลับมาคิดได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ โชตะ เอง ที่แม้ว่าจะถูกล่อลวงไป แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกเพื่อนมาก่อน จนทำให้ทุกคนส่งต่อชีวิตของตัวเองให้ อลิส ในการเอาตัวรอดต่อไป

3. บางครั้งคำตอบ ก็อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ในการเอาชีวิตรอด มีเกมหนึ่งที่มีชื่อว่า Distance ที่ทุกคนมาเริ่มต้นกันที่รถบัสภายในอุโมงค์ และมีโจทย์ว่าพวกเขาจะต้องไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด เลยทำให้ทุกคนเริ่มออกวิ่งจากจุดนั้น ลึกเข้าไปในอุโมงค์เรื่อยๆ โดยที่ Application ก็เริ่มนับระยะที่มากขึ้น แต่เมื่อไปถึงสุดทางพวกเขากลับเจอทางตัน แถมยังเป็นจุดที่ปล่อยน้ำออกมาอีก 

ซึ่งสุดท้ายเกมก็ได้เฉลยว่าจริงๆ แล้วมันมีคำว่า Goal หรือเป็นเส้นชัยแปะอยู่ที่รถบัสคันที่พวกเขาเริ่มต้นอยู่แล้ว หากพวกเขาสังเกตให้ดีกว่านี้ แล้วรอที่รถตั้งแต่เริ่มก็จะรอดตายกันได้แบบสบายๆ นั่นเอง นั่นก็เลยเป็นข้อคิดว่าหากเราจะแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง อาจจะเริ่มมองจากจุดใกล้ตัวก่อนก็ได้ เพราะบางทีวิธีแก้ปัญหา หรือคำตอบนั้นอาจจะอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิดจริงๆ

4. เพราะชีวิต ไม่ใช่เอาไว้ใช้แค่ให้ผ่านไปวันๆ

สิ่งหนึ่งที่ Alice in Borderland ได้เน้นย้ำก็คือ การเรียนรู้คุณค่าของชีวิต เพราะแต่ละคนที่เข้ามาในที่แห่งนี้ก็ล้วนแต่ผ่านการใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่เห็นคุณค่า และไหนไปตามกระแสสังคม พอทุกคนเข้ามาสู่ที่โลกนี้ กลับรู้สึกไม่อยากตาย กลับรู้สึกว่าหากรอดไปได้อีกสักวันก็คงดี ทั้งๆ ที่ชีวิตก่อนหน้าไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เมื่อมีข้อจำกัดที่ทุกคนรู้ว่า ไม่รู้ตัวเองจะต้องตายเมื่อไรในเร็ววัน เพราะแต่ละเกมมีโอกาสพรากชีวิตพวกเขาไปได้สูงมากๆ เลยทำให้ทุกคนเริ่มเห็นคุณค่าในชีวิตมากขึ้น

หากเปรียบกับชีวิตคนในโลกจริงก็ไม่ต่างกัน เพราะจริงๆ แล้วทุกวันนี้เราไม่มีทางรู้ว่าจะตายเมื่อไร เพราะทั้งโรคภัย ทั้งอุบัติเหตุ ทั้งสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้บ่อยมาก และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ การใช้ชีวิตแบบไม่รู้คุณค่าอาจทำให้วันหนึ่งเราตายไปโดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้เหลืออะไรเอาไว้หลังจากนี้ ทำให้บางทีมันอาจต้องมีสิ่งที่กระตุ้นการใช้ชีวิตเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เวลามันผ่านล่วงเลยไปโดยที่ไม่ได้ใส่ใจแบบนี้

5. อดีตที่เลวร้าย มีไว้ให้เราก้าวข้ามผ่านมันไป

คุอินะ น่าจะเป็นอีกตัวละครที่เรียนรู้ข้อนี้ได้อย่างดีที่สุด ในอดีตเธอเป็นผู้ชายที่พ่อเข้มงวดเรื่องการฝึกคาราเต้ของสำนักที่บ้าน แต่ใจของเธอนั้นกลับอยากเป็นผู้หญิงมากกว่า จนที่บ้านรับไม่ได้จนถึงขั้นต้องตัดพ่อและลูก วันหนึ่งเธอได้กลับมาหาแม่ของเธออีกครั้ง และตั้งใจว่าจะดูแลแม่ต่อไป แต่แล้วเธอก็ดันเข้ามาอยู่ในแดนมรณะเสียก่อน 

ในวันหนึ่งที่เธอต้องปะทะกับ ลาสบอส เธอก็ต้องยอมรับอดีตที่ผ่านมา ในการร่ำเรียนคาราเต้ที่เป็นส่วนหนึ่งของเธอแม้ว่าเธฮจะไม่ชอบก็ตาม แต่เธอก็ใช้สิ่งนี้เอาชนะคู่ต่อสู้ลงได้ พร้อมกับการนำข้อแนะนำของพ่อเธอมาปรับใช้ ชีวิตจริงของหลายคนก็มักจมปลักอยู่กับอดีตที่เลวร้าย และเลือกที่จะจำมันอยู่แบบนั้น จนทำให้ชีวิตตัวเองย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งที่ผ่านไปแล้วจะมีคุณค่ามากที่สุดก็ตอนที่เราได้เรียนรู้มันเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก