7 หนังแห่งฝันร้าย ของผู้กำกับงานสวย Guillermo Del Toro

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็ได้มีซีรีส์ชุดหนึ่งใน Netflix ชื่อว่า Guillermo del Toro’s the cabinet of curiousities เข้าฉายทั้งสิ้น 8 ตอนรวด แม้ว่าโดยภาพรวมมันจะมีสนุกบ้างไม่สนุกบ้างคละๆ กันไปแล้วแต่ตอน แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ในงานที่เขาดูแลก็คือการออกแบบชวนสยอง และสร้างอสุรกายให้เป็นสิ่งที่ชวนฝันร้ายที่สุด ทำให้แม้ว่าบางตอนที่ดูธรรมดา ก็ยังสยองได้ไปกับสิ่งเหล่านี้

ซึ่งนั่นเป็นเอกลักษณ์ของงาน Guillermo Del Toro ที่ว่านี้ ก็อยู่ในผลงานของเขาในทุกๆ เรื่องที่ผ่านมาอยู่แล้ว เพราะหนังของเขาเองที่ผ่านมาก็มักเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดชวนสยอง แต่ก็มักจะแฝงประเด็นต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดีแทบทุกเรื่อง จนนับว่าเป็นผู้กำกับอีกคนที่หลายๆ คนจับตามองผลงานใหม่ของเขาอยู่เรื่อยๆ ส่วนที่ผ่านมาจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นลองมาดูกันเลย

1. Mimic (1997) – อสูรสูบคน

ดร. ซูซาน เทเลอร์ นักกีฏวิทยาที่คิดค้นแมลงสาบดัดแปลงพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า “จูดาส” เพราะหวังว่ามันจะไล่ฆ่าแมลงสาบปกติที่ระบาดไปให้หมดเมือง เพื่อลดโอกาสติดเชื้อของผู้คน โดยจากการทดลองคาดว่า จูดาส จะตายไปเองในสามเดือน แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป มันดันกลายพันธ์ต่อเป็นแมลงสาบยักษ์และไล่กินคนแทน

อีกผลงานสไตล์เกรดบีของ Guillermo Del Toro สมัยที่ยังไม่ดังนัก แต่ก็มีแฟนๆ ติดตามผลงานจากเรื่องนี้มาอีกเพียบ จนได้สร้างเป็นภาคต่อแบบลงกะบะเกรดบีตามมาด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ก็ขายความสยองของแมลงสาปกลายพันธุ์ที่ปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยังกลายเป็นสัตว์ประหลาดสยองเกินขั้น จนต้องชื่นชมงานออกแบบแมลงพวกนี้เลย รวมถึงฉากสยองก็ทำมาให้ได้ใจเต้นดีเลยล่ะ

2. Blade II (2002) – นักล่าพันธุ์อมตะ

หลังจากภาคแรก เบลด คือลูกครึ่งแวมไพร์ ที่สวมบทเป็นนักล่าแวมไพร์มาตามฆ่าล้างแวมไพร์ชั่วที่สูบเลือดมนุษย์ แต่ในภาคนี้เขากลับต้องร่วมมือกลับกลุ่มแวมไพร์ที่เขาเกลียดเพื่อเข้าสู่การต่อสู้กับ อสูรกายพันธุ์ใหม่ที่อัพเกรดขึ้นกว่าเดิมอย่าง ริปเปอร์ ที่ออกมาไล่ฆ่าทั้งมนุษย์และแวมไพร์อย่างโหดเหี้ยม

จริงๆ Blade ภาคแรกก็เป็นหนังที่ค่อนข้างสนุกอยู่แล้ว สำหรับคอหนังแอคชั่นที่ชอบฉากต่อสู้เท่ๆ ในภาคสองนั้นก็ค่อนข้างสานต่อคุณภาพแบบเดิมมาได้เป็นอย่างดี และการได้ Donnie Yen มาดูแลคิวบู๊ให้ ก็ทำให้ฉากต่อสู้ดูมีความเป็นกังฟูมากขึ้น ในด้านตัวอสูรกาย Reaper ก็ออกแบบมาได้สยอง โดยเฉพาะการแหวกปากมางับคอเหยื่อก็เป็นอะไรที่ชวนลุกได้เลย

3. Hellboy (2004) – ฮีโร่พันธุ์นรก

เฮลล์บอย ฮีโร่ที่ถือกำเนิดมาจากในนรก แต่ถูกพาตัวมายังโลกผ่านทางประตูมิติจากฝีมือของพ่อมด ราสปูติน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะกองทัพนาซีพยายามหาวิธีเอาชนะสงคราม โดยการเอาอสูรกายมาในโลก แต่แล้วแผนการก็ดันถูกขัดขวางเสียก่อน เลยได้ตัวเฮลล์บอยมาแทน ซึ่งเขาก็ได้เติบโตมาจากเลี้ยงดูของศาสตราจารย์บลูม นักวิทยาศาสตร์ที่รู้สึกถูกชะตากับเขา เมื่อเวลาผ่านไป เฮลล์บอย ก็ได้เติบโตขึ้น และได้สังกัดหน่วยพีอาร์ดี ที่มีไว้เพื่อป้องกันเหตุเหนือธรรมชาติ จนกระทั่งพ่อมดผู้ชั่วร้ายก็กลับมาอีกครั้ง เขาและทีมจึงต้องหาทางหยุดเหตุการณ์เหล่านี้ให้ได้

หนังหมาะกับคนที่อาจจะกำลังเบื่อหนังฮีโร่แบบเดิมๆ และได้ลองพลิกมาในมุมที่ได้เห็นปีศาจกลายมาเป็นฮีโร่ดูบ้าง ซึ่งนอกจากภาพลักษณ์สีแดงน่าจดจำแล้ว ยังมีคาแรคเตอร์อารมณ์ร้อน ขึ้บ่น กวนส้นเท้า ก็รับรองได้ว่าแทบไม่มีหนังฮีโร่เรื่องไหนที่ใส่ตัวเอกมาแบบนี้ก็นับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเลย อีกทั้งใครที่ชอบงานสายดาร์คแฟนตาซีของ Guillermo del Toro อยู่แล้วด้วย ก็น่าจะสนุกไปกับการเสพงานออกแบบ และงานศิลป์ต่างๆ ในเรื่องควบคู่กันไปด้วย

4. Pan’s Labyrinth (2006) – อัศจรรย์แดนฝัน มหัศจรรย์เขาวงกต

โอลีเฟีย เด็กสาวที่เติบโตขึ้นมาในประเทศสเปนช่วงที่สงครามกำลังเข้มข้น จนทำให้เธอต้องเสียพ่อไปในฐานะกบฏ ทำให้แม่ของเธอต้องแต่งงานใหม่กับผู้กองสุดโหด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้เดินไปพบกับเขาวงกตแถวบ้าน พร้อมกับตัวประหลาดที่บอกเธอว่า จริงๆ แล้วเธอเป็นเจ้าหญิงในเมืองใต้บาดาลที่หนีออกมา และอยากให้เธอกลับไปที่นั่น เธอจึงต้องตัดสินใจว่าเธอจะเลือกอยู่ในโลกของความจริงท่ามกลางสงครามอันโหดร้าย หรือโลกแฟนตาซีที่จะทำให้เธอไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป

น่าจะเป็นหนังที่ท็อปฟอร์มที่สุดของ Guillermo Del Toro ด้วยการเล่าเรื่องที่เฉียบคม เต็มไปด้วยประเด็นสงครามและความรุนแรงของวัยเด็ก วัยรุ่น ที่สะท้อนผ่านตัวละครเด็กสาว ก็ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ อีกทั้งการดีไซน์ตัวประหลาดทั้งหลายในเมืองบาดาลก็เต็มไปด้วยความสยดสยอง อีกทั้งตัวหนังเองก็สามารถตีความได้หลากหลายแล้วแต่ที่คนดูต้องการ

5. Pacific Rim (2013) – สงครามอสูรเหล็ก

ในโลกที่มนุษย์ต้องตกอยู่ใต้ฝันร้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับไคจูอย่างบ่อยครั้ง จนทำให้ต้องมีหน่วยวิจัยคิดค้นอาวุธพิเศษที่เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ที่เรียกว่า เจเกอร์ส ซึ่งหุ่นยนต์นี้ต้องอาศัยนักขับสองคนมาประสานจิตกันเพื่อควบคุมให้ได้ดั่งใจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ราไลย์ และ มาโกะ พลขับฝึกหัดที่ดันผสานจิตใจกันได้พอดี จึงต้องมาร่วมมือกันบังคับหุ่นเพื่อไปต่อสู้กับเหล่าไคจู

หนังที่เหล่าแฟนๆ หุ่นยนต์จะต้องกรี๊ด ยิ่งปะทะไคจูเข้าไปอีก ก็ยิ่งกรี๊ดกันเข้าไปใหญ่ ซึ่งผลงานนี้เป็นงานแอคชั่นงานแรกๆ ของผู้กำกับเลยก็ว่าได้ หลังจากที่วนเวียนอยู่กับความสยองและฝันร้ายมาโดยตลอด มาในเรื่องนี้ก็จัดเต็มเอาหุ่นยนต์มาชนไคจูกันให้สาแก่ใจ แม้ว่าในภาคแรกตัวหุ่นยังไม่ค่อยมาก แต่ภาค 2 ที่เขาไม่ได้กำกับแล้วก็เต็มไปด้วยหุ่นแบบจุใจเลย ถึงจะสนุกกว่าเดิมก็เถอะ

6. Crimson Peak (2015) – ปราสาทสีเลือด

อีดิธ สาวนักเขียนที่มีพลังติดต่อกับวิญญาณได้ วันหนึ่งเธอได้รับข้อความปริศนาจากวิญญาณที่เตือนเธอว่า “จงระวังคริมสันพีค” จนกระทั่งพ่อของเธอได้เสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนา เธอจึงได้ไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่ประจำตระกูลจนทำให้เธอได้พบกับเรื่องราวลี้ลับชวนสยอง จนไม่แน่ใจว่าที่นี่ใช่คำเตือนที่เธอได้ยินมาตอนแรกไหม

หนังที่มีการเล่าเรื่องแบบที่สนุกพอประมาณ หรือจริงๆ ก็คือมันมีการเล่าเรื่อง สับขาหลอก ซ่อนปม ตามมาตรฐานแบบที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพีคถึงขนาดว่า ว้าว สักเท่าไร แต่ทั้งนี้ ในแง่งานโปรดักชั่นต่างหากที่ดูเหมือนจะเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากทั้งนอก และในปราสาทที่ทำออกมาได้ดีมากๆ น่า Snap ไว้ในทุกจุด การออกแบบคือทำมาสวยจริงๆ จนได้แต่ชื่นชมในแง่งานศิลป์แทนส่วนอื่นๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

7. The Shape of Water (2017) – มหัศจรรย์รักต่างภพ

ในช่วงสงครามเย็นที่ประเทศอเมริกา เอลิซ่า สาวใบ้ได้ทำงานเป็นภารโรงในศูนย์วิทยาศาสจร์ลับแห่งหนึ่ง และได้พบว่าที่แห่งนี้มีการเก็บสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติอยู่ ซึ่งก็คือพรายน้ำประหลาด ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ได้มีความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่ดีให้กัน จนทำให้เธอตัดสินใจที่จะช่วยเขาออกมาจากที่แห่งนี้

อีกหนังที่ดูก็รู้ว่าทำมาเพื่อชิงรางวัลจริงๆ แต่แทนที่จะเล่นท่ายาก เล่าเรื่องให้ต้องตีความ หรือเน้นสัญลักษณ์ ผู้กำกับก็เล่นเอาแบบซื่อๆ ชัดๆ ให้ดูกันเข้าใจ แต่ทำให้สนุกและน่าติดตามแทนนี่แหละ จนมันกลายเป็นหนังรางวัลประเภทเข้าใจง่ายที่มงลงแบบสวยๆ ด้วยงานศิลป์แบบปราณีต งานออกแบบที่สวยงาม ประเด็นเรื่องคนเหงาที่แตกต่างจนเกิดเป็นความรักที่เข้าใจกันเอง