ถ้า Daniel Craig ไม่เป็น Bond แล้วเป็นอะไรได้บ้าง?
แอดเชื่อว่าตอนนี้หลายๆ คนน่าจะไปสั่งลา Daniel Craig ในบท 007 กันไปแล้วในภาค No Time to Die ซึ่งถามว่าเสียดายไหมก็ย่อมเสียดาย เพราะดาราอย่าง Daniel Craig ก็นับเป็น James Bond ที่ดีมากๆ อีกคนหนึ่งเลย แต่งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา เพราะจากภาค Casino Royale เมื่อปี 2006 มาจนถึง No Time to Die ในปี 2021 นี้ ก็ล่วงเลยมาถึง 15 ปี พร้อมทั้งแสดงที่มีอายุมากขึ้นไปตามกาลเวลา จนได้เวลาบอกลาคนดูกันสักที
แต่ถึงอย่างไรนั้น รับรองเลยว่าเราคงไม่ได้เห็น Daniel Craig หายไปไหนจากวงการภาพยนตร์อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมานั้นเขาเองก็มีบทบาทที่หลากหลายอยู่ไม่น้อย ทั้งก่อนจะมาเป็น Bond หรือในระหว่างที่เป็น Bond อยู่ ทำให้เขาสวมบทบาทได้มากมาย และยังเป็นที่ชื่นชอบของคนดูอยู่อีกมาก วันนี้ #โกดังหนัง จึงอยากจะพามาย้อนรอยกันดูสักหน่อยว่า ตอนที่ Daniel Craig ไม่เป็น James Bond แล้วเขาเป็นอะไร
เป็นยอดนักสืบใน Knives Out (2019)
คดีปริศนาฆาตกรรมในวันรวมญาติ ที่ผู้ต้องสงสัยคือทุกคนในครอบครัวนี้! ตระกูล ธรอมบีย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากการที่ ฮาร์ลาน ธรอมบีย์ นักเขียนนิยายชื่อดังที่มีผลงานตีพิมพ์มากกว่า 80 ล้านเล่มทั่วโลก แต่ในเช้าหลังวันครบรอบวันเกิด 85 ปี เขากลับพบเป็นศพอยู่ในคฤหาสน์ของเขาเองอย่างเป็นปริศนา งานนี้นักสืบมากฝีมืออย่าง เบอนัวต์ บลองก์ ได้เข้ามารับคดีและเมื่อเขายิ่งสืบลึกเข้าไปในครอบครัวนี้ เขาก็ยิ่งเจอกับความลับที่ซ่อนไว้ของสมาชิกในตระกูลธรอมบีย์
อีกบทเด่นของ Daniel Craig ที่น่าจะได้ดูกันไปอีกยาวๆ กับบทบาทของยอดนักสืบ ที่ดูเหมือนจะได้คาแรคเตอร์มาจากนักสืบปัวโรต์ ในนิยายของ Agatha Cristie ที่ดูเหมือนหลายๆ คนจะบอกว่าดูเป็นปัวโรต์ มากกว่าหนังปัวโรต์อย่าง Murder on Orient Express เสียอีก ซึ่งเขาก็รับบทนี้ได้อย่างน่าชื่นชม ที่ไม่ใช่แค่จะโดดเด่นคนเดียว แต่ก็ยังส่งต่อออร่าไปให้ดาราคนอื่นๆ ที่เข้าฉากด้วยกันได้เป็นอย่างดี จนใครที่เป็นแฟนๆ หนังชุดนี้ก็รอได้เลย เพราะภาค 2 กับภาค 3 รอจ่อคิวสร้างมาลงใน Netflix กันแล้ว
เป็นนักโทษสุดกุ๊ย ใน Logan Lucky (2017)
จิมมี่ และไคลด์ โลแกน คือ 2 พี่น้องบ้านนอกที่ไม่มีดวงกับเขาสักเท่าไร และไม่ว่าทำอะไรก็เจ๊งไปหมดประหนึ่งเป็นคำสาปของตระกูล ด้วยสภาพชีวิตแบบปากกัดตีนถีบจึงพาให้พวกเขาคิดการใหญ่ ด้วยการวางแผนปล้นเงินในงานแข่งรถ Nascar รายการ Coca-Cola 600 ประจำปี ที่จะมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากและจะมีเงินอีกจำนวนมหาศาล แต่ด้วยความขาดประสบการณ์ของทั้งคู่ พวกเขาจึงต้องไปขอความร่วมมือจาก โจแบง นักโทษที่มีความเชี่ยวชาญด้านการระเบิด เพื่อหวังพึ่งเขามาเปิดตู้เซฟขนาดยักษ์ให้ ความวายป่วงจึงบังเกิดขึ้นมา
โจ แบงนับเป็นอีกบทที่ตลกมากๆ ของ Daniel Craig และลบภาพ James Bond ของเขาออกไปได้จริงๆ ด้วยความที่เป็นนักโทษแบบเถื่อนๆ ติดกุ๊ยๆ พร้อมกับบุคลิกที่ยียวนกวนส้นเท้าก็เป็นอะไรที่เรียกว่าฉีกมาจนถูกใจคนดูมากๆ อีกทั้งด้วยความที่มันเป็นหนังของผู้กำกับ Steven Soderbergh ที่เคยทำหนังตระกูลอย่าง Ocean แต่พอคราวนี้ลดสไตล์หรูๆ คูลๆ ลงแล้วมาทำหนังปล้นแบบบ้านๆ ดูบ้าง ก็เรียกได้ว่าได้ผลดีมากๆ เลยจริงๆ
เป็น Stormtrooper สุดเนียน ใน Star Wars: Episode VII – The Force Awakens (2015)
หลังจากกองกำลังจักรวรรดิ์ ได้สูญเสียอำนาจไปแล้วหลังจากเหตุการณ์เมื่อ 30 ปีก่อน ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งภายใต้ชื่อของ First Order ที่ได้ผู้นำอย่าง Supreme Leader Snoke ในขณะเดียวกันกองกำลังกบฏก็เริ่มรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อต่อต้านเช่นกัน ทำให้ โพ ดาเมรอน นักบินฝีมือดีก็ได้ถูกไล่ล่า เพื่อเอาชิ้นส่วนแผนที่ แต่เขาก็ได้ส่งมอบให้กับหุ่นดรอยด์ BB-8 ก่อนที่จะโดนจับไป จนกระทั่ง เรย์ สาวน้อยที่เก็บขยะขายบนดาวจัคคูก็ได้มาพบหุ่นตัวนี้ ก่อนที่จะเข้าไปพัวพันกับสงครามแห่งดวงดาวอีกครั้ง เพื่อสร้างความสงบสุขให้กับกาแลคซี่นี้
น้อยคนที่จะรู้ว่า Daniel Craig ได้เข้ามามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเขาก็ไม่ได้ Credit อะไร แถมยังไม่ได้มีการเปิดเผยหน้าด้วยซ้ำ เพราะเขาแอบมาสวมบทเป็น Stormtrooper นั่นเอง โดยเขาได้เล่นเป็นตัวในฉาก เรย์ ถูกจับตัวไป ซึ่งเมื่อแฟนๆ รู้ก็เลยตั้งชื่อให้กับเจ้า Stormtroopper ตัวนี้ว่า JB-007 เอาไว้เลย นับเป็นอีกบท Cameo ที่เท่มากๆ ในหนังชุดใหญ่แบบนี้
เป็นนักข่าวสุดเยิน ใน The Girl with the Dragon Tattoo (2011)
มิเกล บลอมวิสต์ นักข่าวสายแฉ ที่ดันไปเปิดโปงนักธุรกิจใหญ่ขึ้นมาจนต้องเสียอาชีพนี้ไป เลยออกมาเขียนหนังสือชีวประวัติให้กับ เฮนดริก วังเกอร์ ชายผู้ร่ำรวยแทน ซึ่งชายคนนี้ก็ได้ว่าจ้าง มิเกล ให้เข้ามาช่วยสืบเรื่องที่คาใจของเขามานานกว่า 40 ปี นั่นก็คือการหายตัวไปของหลานสาวของเขา ด้วยความซับซ้อนของเรื่องราว มิเกล จึงต้องใช้บริการ ลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ แฮ็กเกอร์สาวระดับเซียนที่มีบุคลิกกร้านโลกเข้ามาช่วยเหลือในการสืบสวนครั้งนี้ ก่อนที่จะนำไปสู่ความลับดำมืดและอันตรายที่เกินกว่าจะคาดคิด
หนังที่บทของ Daniel Craig ค่อนข้างคล้ายกับ Bond อยู่เหมือนกัน เพียงแต่เป็น Bond ใน Version ที่หงอกว่าและเตะต่อยไม่เป็น (ก็แน่สิเป็นนักข่าวไม่ใช่สายลับ) อีกทั้งยังเป็นการกลับด้านของบทจากเน้นผู้ชายก็ไปเน้นตัวเอกหญิงอย่างน้อง Rooney Mara แทน ก็นับว่าเป็นอีกบทที่น่าสนใจของเขาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการที่ได้ร่วมงานอย่างผู้กำกับสุดเนี้ยบอย่าง David Fincher ด้วย ก็ยิ่งดีต่อพอร์ทการแสดงของเขาเหลือเกิน
เป็นวายร้ายใน Motion Capture ใน The Adventures of Tintin (2011)
ตินติน นักข่าวหนุ่มไฟแรงและสโนวี่ สุนัขคู่ใจของเขา ที่รักการผจญภัยเป็นอย่างมาก ครั้งนี้พวกเขาออกเดินทางเพื่อทำภารกิจใหม่จากการที่ได้เห็นเรือจำลองลำหนึ่งที่มีชื่อว่า “Unicorn” และซื้อเอาไว้ โดยที่ไม่รู้ว่ามันมีความลับสุดยิ่งใหญ่เก็บเอาไว้อยู่ จนทำให้ อิวาน อิวาโนวิทซ์ ซาคาไรน์ วายร้ายสุดโหด ที่หวังจะขโมย Unicorn มาจากตินติน เพราะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน จนทำให้ ตินติน ต้องไปขอความช่วยเหลือจากกับตันแฮดด็อก เพื่อไขปริศนาและออกผจญภัยไปด้วยกัน
อีกหนึ่งบทบาทที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ อยู่ไม่น้อยของ Daniel Craig เพราะในเรื่องนี้เขาได้พากษ์เสียงเป็นตัวละครใน Motion Capture เท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นตัวร้ายในเรื่องเสียด้วย ซึ่งก็นับว่าทำหน้าที่ได้ดี คือดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวร้ายดูชั่วดีเลย และนับเป็นอีกงานที่ Daniel Craig เองได้ร่วมกับทีมงานชั้นอ๋องมากมาย ตั้งแต่ผู้กำกับอย่าง Steven Spielberg, มี Producer อย่าง Peter Jackson และเจ้าพ่อ Motion Capture อย่าง Andy Serkis ด้วย แม้ว่าหนังจะได้รับคำวิจารณ์ไปในระดับกลางๆ ก็ตาม
เป็นคาวบอย ใน Cowboys & Aliens (2011)
ในปี 1873 ที่อริโซนา ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่ไม่มีความทรงจำอะไรในหัวเลย แต่ที่ข้อมือกลับมีเหมือนอาวุธล้ำยุคติดอยู่ เขาได้เดินทางมาถึงเมืองที่มีชื่อว่าแอ๊บโซลูชั่นโดยที่ไม่มีใครต้อนรับเขา แต่แล้ววันหนึ่งเมื่องที่ว่ากลับถูกโจมตีด้วย สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่มาจากนอกโลก และกลายเป็นว่าสิ่งที่อยู่ในข้อมือของเขานั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ต่อกรกับเอเลี่ยนได้ เขาจึงกลายมาเป็นความหวังของชาวเมืองที่จะรวมตัวกันเพื่อต่อสู่้กับสิ่งมีชิวิตประหลาดเหล่านี้
หนังสไตล์แอคชั่นเถิดเทิงที่กำกับโดย Jon Favreau ที่ Daniel Craig ก็ได้ขึ้นแท่นพระเอกตัวเด่นในบทคาวบอยที่มีอาวุธล้ำยุคติดที่ข้อมือเอาไว้ โดยได้ประกบกับรุ่นใหญ่อย่าง Harrison Ford กับดาราสาวสวยที่ดังในยุคนั้นอย่าง Olivia Wilde ซึ่งการได้เห็น Craig ในบทคาวบอยก็เป็นอะไรที่แปลกตาดี แม้ในบางส่วนอาจจะดูเหมือนเป็น Bond ในเวอร์ชั่นย้อนยุคอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่หนังมันทำแบบตลาดๆ เน้นบันเทิงแบบแฟนตาซี จนได้คำวิจารณ์ออกมากลางๆ และไม่ได้มีอะไรน่าจดจำสักเท่าไรนัก
เป็นคนขับรถของหน่วยล้างแค้น ใน Munich (2005)
แอฟเนอร์ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของอิสราเอล ที่รู้สึกโกรธแค้นกับเหตุการณ์ที่นักกีฬาในหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิคนั้นถูกจับเป็นตัวประกันและถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดย Black September กลุ่มปาเลสไตน์หัวรุนแรง แอฟเนอร์จึงตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อแฝงตัวตามล่ารายชื่อผู้ต้องสงสัยทั้ง 11 รายที่ทางหน่วยข่าวกรองกาหัวมาว่ากลุ่มนี้คือผู้ก่อการร้าย แต่ยิ่งพวกเขาถลำลึกลงไปเท่าไร ก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าภารกิจที่ตัวเองนั้นทำอยู่ถูกต้องหรือไม่
แม้ในเรื่องนี้ Daniel Craig จะไม่ได้เป็นพระเอก แต่ก็นับเป็นอีก 1 ตัวเอกในทีมที่มีบทบาทไม่น้อย ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องชื่นชมผู้กำกับอย่าง Steven Spielberg มากๆ ที่แบ่งหน้าที่ให้กับแต่ละตัวละครในทีมได้เป็นอย่างดี แต่ละคนมีพื้นที่ปล่อยของสำหรับตัวเองได้อย่างน่าจดจำ อีกทั้งยังสร้างปมความขัดแย้งในใจของตัวละครให้มีมิติและชวนเห็นใจมากๆ นับเป็นหนังของ Craig อีกเรื่องที่เราแนะนำให้ดูแบบสุดๆ เลย
เป็นพ่อค้ายา ใน Layer Cake (2004)
มิสเตอร์ X พ่อค้าโคเคนรายใหญ่ที่ต่างมีผู้คนเคารพยำเกรง เขามีแผนที่จะอำลาวงการแต่แล้วเรื่องราวก็กลับไม่ง่าย เมื่อ จิมมี่ มาเฟียรายใหญ่ที่เสมือนเป็นหัวหน้าแก๊งเขา กลับมอบภารกิจใหญ่ให้ โดยการให้ตามหา ชาร์ล็อต ลูกสาวของเพื่อนที่หายไป จนทำให้เขาได้ไปร่วมงานกับทีมสุดวายป่วง ที่ดูเหมือนว่าการถอนตัวครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด
นอกจากบทตัวประกอบใน Lara Croft: Tomb Raider ตอนปี 2001 กับ Road to Perdition ในปี 2002 ก็มี Layer Cake ที่ทำให้เราเห็น Daniel Craig รับบทนำไปแบบเต็มๆ แถมยังเป็นหนังสไตล์สุดยียวนของ Matthew Vaughn ที่ทำออกมาได้ดุเดือด เชือดเฉือนกันยับ ไม่ต่างอะไรกับหนังสไตล์ Gangster ของ Guy Ritchie กันเลย ส่วนตัวแล้วทำให้ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ก็รู้สึกว่านี่แหละคือหนังแจ้งเกิดของ Daniel Craig และรู้สึกว่าเข้ามีออร่าและราศีที่จะให้ไปเล่นเป็น James Bond จริงๆ