Divergent (2014)
คนแยกโลก
คะแนน
โกดังหนัง
ภาคกำเนิดของหนังที่เปิดโลกดิสโทเปียใบใหม่ กับคอนเซปการแยกเผ่าตามนิสัยของผู้คน อาจไม่ดีเท่ากับที่รุ่นทำเอาไว้ แต่ก็ยังสนุก ดูได้เพลิน
คำคมจากภาพยนตร์
“Face your worst fear and conquer them.” “เผชิญหน้ากับความน่ากลัวที่สุดในชีวิต และเอาชนะมันให้ได้!”
เรื่องย่อ
ในโลกสมมุติที่มีการแบ่งเผ่าพันธุ์ 5 เผ่ากันตามอุปนิสัย เพื่อให้สภาพบ้านเมืองเต็มไปด้วยความสงบสุข บีทรีซ สาวน้อยวัย 16 ปี ก็กำลังจะเข้าสู่การได้คัดเลือกตามพิธีการ ว่าตัวเองนั้นจะได้เข้าไปอยู่ในเผ่าใด ซึ่งจากผลการคัดเลือกนั้นก็ทำให้เธอพบว่าเป็น Divergent หรือกลุ่มที่เลือกกลุ่มไหนก็ได้ และไม่สังกัดกลุ่มไหนเป็นพิเศษ โดยคนกลุ่มนี้ก็จะต้องถูกกำจัดเนื่องจาก ทำให้การบริหานั้นยุ่งยาก แต่เธอก็ได้ผู้ดูแลการทดสอบช่วยเหลือเอาไว้ และเลือกเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้กล้าแทน โดยต้องปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเธอเป็น Divergent
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Divergent นั้นอาจไม่ใช่หนังที่อาจจะถูกใจทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณคาดหวังจะให้มันเหมือน The Hunger Games แล้วก็ยิ่งบอกได้แค่ว่าห่างไกลอยู่เยอะ แต่สำหรับแฟนๆ นิยายที่เอียนๆ กับพาร์ทรักๆ ในนั้น ในฉบับหนังก็ลดโทนตรงนั้นลงไปเยอะ และเน้นชีวิตนางเอกในกลุ่ม รวมถึงพาไปสำรวจโลกของ Divergent มากขึ้น จนนับว่าเป็นภาคเปิดที่ค่อนข้างโอเค ดูเพลินได้เลย แต่ทั้งนี้ก็ต้องเตือนกันก่อนว่าสุดท้ายหากเลือกที่จะเริ่มดูนั้น หนังที่สร้างมาก็ทำมาได้ไม่จบ ด้วยความซนในการแยกภาคออกมาแล้วดันเจ๊งเสียก่อน เอาเป็นว่าใครชอบแนวๆ ดิสโทเปียอย่าง The Hunger Games หรือ The Maze Runner ก็อยากให้ลอง ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบก็มาว่ากันอีกที
- สายหนังวัยรุ่นผจญภัย
- สายหนังโลกดิสโทเปีย
- สายหนังแอคชั่นตัวเอกหญิง
รีวิว / สรุปเนื้อหา
เป็นอีกหนึ่งหนังที่ว่าด้วยโลกดิสโทเปีย (โลกที่ไม่พึงปราถนา) กับระบบการแบ่งเผ่าตามลักษณะนิสัยหลักของคน เช่น กลุ่มผู้ให้ กลุ่มสันติ กลุ่มซื่อสัตย์ กลุ่มทรงปัญญา และกลุ่มกล้าหาญ ที่เอาจริงๆ ก็ดูไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด ด้วยความหลากหลายของนิสัยมนุษย์ที่มีมากกว่านั้น รวมถึงกลุ่มที่เป็นเบ๊ก็จะรับหน้าที่แบบเบ๊ๆ ไปตลอด ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ขัดใจอย่างมากในฐานะคนที่อ่านนิยายมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อได้มาลองคิดแล้ว ก็อาจเป็นเพราะมันเป็นโลกที่ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้นั่นแหละ มันถึงชวนขัดใจแบบนี้ ซึ่งก็ตรงกับที่แนวดิสโทเปียมันควรจะเป็นอยู่แล้ว
หากเทียบ Divergent กับหนังรุ่นพี่อย่าง The Hunger Games ในแง่การสร้างจักรวาลขึ้นมาใหม่กับตัวเอกวัยรุ่นหญิงแล้วนั้น ก็ถือว่าห่างชั้นกับรุ่นพี่มากๆ เพราะในเรื่องนั้นปรับโทนตัวเองเป็นความเข้มข้น และหยิบเอามุมมองของการเมืองการปกครอง มาใช้ให้เข้ากับเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่ ในขณะที่ในเรื่องนี้จะเน้นไปที่โทนรักโรแมนติก และการผจญภัยในเผ่าตัวเองเสียมากกว่า ซึ่งในแง่ดีของหนังมันก็ค่อนข้างจะมีครบรส มีทุกแนว คนที่ชอบในพาร์ทโรแมนติกของนางเอกหล่อๆ สวยๆ ก็สามารถฟินไปกับหนังได้ หรือคนที่ชอบแอคชั่น ฉากฝึกภายในเผ่าตัวเองก็จะสนุกไปกับหนังได้เหมือนกัน
แต่ในทางกลับกันสำหรับคนที่มองหาความเข้มข้นและซับซ้อนของตัวหนัง ให้ลงลึกไปถึงประเด็นที่สามารถเอามาพูดต่อกันได้จากเรื่อง ก็อาจจะยากสักหน่อย เพราะโทนที่ว่าในหนังมันช่างหายากเหลือเกิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ถือว่าหนังเป็นปฐมบทที่ชวนติดตามต่อได้อีกเรื่อง และค่อนข้างดีกว่าฉบับนิยายต้นฉบับลงไปเยอะ ที่ตัวละครดูหื่นกระหายแทบจะพล็อดรักกันในแทบจะทุกหน้าเว้นหน้าเลยด้วยซ้ำ ในฉบับหนังจึงออกมาค่อนข้างพอใจอยู่ไม่น้อย กับการหยิบจับแนวนี้นิด มาผสมแนวนั้นหน่อย ผสมกันออกมาได้สนุกในระดับนึง
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- แม้หนังจะไม่ปังแต่ก็มีดาราดังอย่าง Kate Winslet มาแสดง ซึ่งในช่วงนั้นเธอกำลังท้องอยู่ด้วย พอถึงจุดที่เธอเริ่มท้องแก่จนเห็นได้ชัดแล้ว ผู้กำกับก็เลยต้องใช้วิธีถ่ายครึ่งบนเหนืออกเธอขึ้นแทน รวมถึงการใช้บรรดาเอกสาร แฟ้ม และไอแพด ในการปิดบังท้องที่นูนออกมา
- หนังใช้ตัวเอกทั้งคู่พระ-นางที่เกินอายุตัวเองไปมากๆ เพราะ Tris ในหนังอายุเพียง 16 แต่ก็แสดงดย Shailene Woodley ในวัย 23 ในขณะที่ Four ในเรื่องอายุแค่ 18 แต่ดาราอย่าง Theo James ก็อายุปาเข้าไปถึง 28 แล้ว
- ในตอนเริ่มนั้นหนังได้งบมาสร้างเพียง $40 ล้าน แต่ทางค่าย Lionsgate ก็เพิ่มให้เป็น $80 ล้าน เพราะคิดว่าหนังน่าจะประสบความสำเร็จได้แบบ The Hunger games ในปี 2012 แต่ผลที่ออกมากลับเทียบกันไม่ได้เลย อีกทั้งยังเป็นหนังชุดอีกเรื่องที่สร้างไม่จบ จากความลำไยแบ่งภาคด้วย