The 355 (2022)

ปฏิบัติการสวยลับ

The 355 Poster
7.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

คำวิจารณ์แย่ลบไม่มีผลอะไรกับหนังเลย หนังสายลับพลังหญิงที่ดูเพลินๆ ดุเดือดเลือดพล่านโดยเฉพาะคิวบู๊ นางเอก 5 คนมีเสน่ห์เท่ห์ไปคนละแบบคนละสไตล์ เป็นหนังที่ดูเอามันส์เหมาะกับคนดูอยากดูคิวบู๊เยอะๆโดยเฉพาะ

หมวดหมู่ : Action
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Simon Kinberg
ความยาว : 2 ชั่วโมง 2 นาที
นักแสดงนำ : Jessica Chastain, Fan Bingbing, Penélope Cruz, Diane Kruger

คำคมจากภาพยนตร์

"It's very hard to have to think about somebody that we used to love."
"มันยากมากที่เราจะต้องทำใจนึกถึงคนที่เราเคยรัก"

เรื่องย่อ

อาวุธทำลายล้างที่สามารถแฮ็กระบบต่างๆทั่วทั้งโลกปั่นป่วยทุกอย่าง ซุกซ่อนอยู่ในไดร์ฟ มันกลายเป็นสิ่งของมูลค่ามหาศาลที่ใครก็อยากครอบครอง ทำให้เมซสายลับหน่วย CIA จากสหรัฐอเมริกา และคู่รัก นิก ฟาวเลอร์ และ มารี ชมิด สายลับหน่วย BND จากเยอรมนี ต่างก็ต้องทำหน้าที่แย่งชิงไดรฟ์เพื่อปกป้องโลก ทว่าภารกิจที่ผิดพลาดทำให้ CIA สาวจำใจต้องร่วมมือกับสายลับสาวอีก 4 ชาติ ประกอบไปด้วย คาดิจาห์ อาติยาเม’จากอังกฤษ, มารี ชมิดจากเยอรมัน, กราเซียลา ริเวรา’จากโคลัมเบีย และ หลินมี่เฉิง จากจีน ซึ่งพวกเธอต้อใช้ทั้งฝีมือการสืบ ทักษะการต่อสู้ และเสน่ห์หญิงที่สุดร้ายกาจเพื่อสยบวายร้ายและชิงไดร์ฟเจ้าปัญหากลับมาให้ได้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The 355 เป็นหนังแอ็คชั่นสายลับพลังหญิงที่เน้นขายดาราและคิวบู๊โดยเฉพาะ เนื้อหาอัดแน่นด้วยประเด็นสายลับผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติที่ต้องมาทำภารกิจร่วมกับเพื่อหยุดยั้งผู้ก่อการร้ายที่หวังจะปั่นป่วนโลก หนังไม่มีความซับซ้อน พอหนังมาใช้พลังผู้หญิงกลายเป็นหนังที่พล็อตดูใช้ได้นักแสดง A-List ระดับตัวแม่ทำให้คอหนังบู๊ดูแบบเพลินๆ แม้ว่าบทจะเบาเดาเนื้อหาได้ โดยรวมเป็นหนังที่ใครๆที่ไม่ชอบคิดอะไรเยอะหรือออกลูกหวือหวาดูได้สบายๆ

  • สายหนังสายลับ
  • สายหนังแอ็คชั่นพลังหญิง
  • สายหนังฮีโร่

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ปกติแล้วหนังสายลับสาวส่วนใหญ่พล็อตจะมาในสไตล์มาตัวคนเดียว แต่เรื่องนี้ขอฉีกกรอบออกไปเป็นการรวมทีมสายลับสาว 5 คน 5 สัญชาติที่มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป การเล่าเรื่องการปูพื้นหลังของตัวละครแต่ละครถือว่าใช้ได้ไม่ได้ขี้เหร่ อเมริกัน, อังกฤษ โคลัมเบีย, เยอรมัน และจีน ฉากแอ็คชั่นเทคนิคการเล่าเรื่องน่าสนใจตรงที่พยายามมีลูกเล่นที่แปลกใหม่มุมกล้องเคลื่อนไหวสอดลับกับฉากบู๊ ฉากไล่ล่าเปิดพื้นที่ให้ตัวละครมีลูกล่อลูกชนมีแท็คติกแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าเพื่อเอาตัวรอด หนังทำได้ไหลลื่น บทหนังอาจเฉยๆจำเจไม่ต่างจากหนังสายลับทั่วไป คนดูคาดเดาเนื้อหาได้ เพราะหนังหักมุมดัดหลังกันไปมา คิวบู๊ของสาวๆได้ออกหมัดวาดลวดลายกันสนุก ทำคนดูลุ้นตามไม่เสียอรรถรสในการดูหนัง

ส่วนการแสดงของดาราๆสาวถือว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของหนังก็ว่า 5 สาวจาก 5 ชาติ ทุกคนปังมาก เพราะแต่ละคนตัวแม่ทั้งนั้น ถูกเกลี่ยบทออกมาได้มีเสน่ห์ แม้ว่าดาราสาวบางคนจะมีช่องโหว่ไปบ้าง การได้ดูสาวๆออกคิวบู๊แหลกมันมีเสน่ห์เพราะพวกเธอเล่นเองบู๊เองเจ็บจริงอย่างที่ นางเอกพ่วงด้วยโปรดิวเซอร์อย่าง เจสซิก้า เชสเทน ก็มีประสบการณ์ในการแสดงหนังแอ็คชั่นมาไม่น้อยจากหนังเรื่องก่อนๆ ตัวเธอเองฝึกศิลปการต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาพอสมควร ส่วนนางเอกคนอื่น ๆ ก็เด่นกันไปคนละแบบ ไม่ว่าจะ ไดแอน ครูเกอร์ สาวเยอรมัน ที่มาในสไตล์บ้าบิ่นดีเดือดไม่สนใจอะไรลุยเดียวไม่แคร์ใครก็พลิกภาพจำเก่าๆทิ้งไป, ลูพิต้า เอ็นยงโก สาว MI6 ที่ช่ำชองอุปกรณ์ไฮเทคช่วยเหลือๆสาวในทีม, เพเนโลป ครูซ จิตแพทย์สาวที่จำใจต้องมาร่วมทีมปฏิบัติการณ์แบบไม่มีทางเลือก และ ฟ่านปิงปิง สายลับจีนที่สวยเผ็ดดุจริงๆพวกเธอเคมีเข้าขากันมากนะ พลังงานของพวกเธอช่วยให้หนังเรื่องนี้ได้มากมายเลยละ

องค์ประกอบจริงๆหนังมันค่อนข้างจะจำเจไปมาก ฉากแอ็คชั่นถูกใส่มาเยอะ ความไม่สมเหตุสมผลในเรื่องเลยมีเพียบเหมือนกัน คิวบู๊พีคมาก ดาราสาวได้ออกแรงกันเต็มที่ แต่หนังกลับเปิดช่องโหว่เพียบ พล็อตหนังไม่ได้แปลกใหม่ การเล่าเรื่องการตัดต่อ หลายๆซีนไม่อธิบายปมปัญหาให้คลี่คลายเพื่อให้คนดูเข้าใจ เหตุการณ์ที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาดื้อ ๆ รวมถึงการตัดรวบบางซีน โดยเฉพาะฉากแอ็กชันสนุก ๆ ให้สั้นและรวบรัดจนเกินเหตุ ทั้งหมดนี้ก็เลยทำให้ฉากแอ็กชันดีๆ บางฉากเกิดอาการลุ้นไม่สุด น่าเสียดายที่ปูทางมาดีสามารถสานต่อเป็นภาคต่อแฟรนไชส์ได้สบาย แต่ผู้กำกับอย่าง Simon Kinberg กลับทำให้หนังส่วนอื่นที่ไม่ใช่พาร์ทแอ็คชั่นขาดเสน่ห์ไปซะอย่างนั้น.

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ไอเดียการทำหนัง The 355 เกิดขึ้นในระหว่างถ่ายทำ X-Men: Dark Phoenix
  • นักแสดงนำหญิงทั้ง 5 คนต้องแสดงฉากแอ็คชั่นคิวบู๊ด้วยตัวเองไม่พึ่งพาสตั๊นแมนท์
  • หนังวางแผนจะฉายในปี 2021 แต่เพราะโควิดทำให้หนังต้องฉายช้าไปอีก 1 ปี
  • Jessica Chastain นักแสดงและโปรดิวเซอร์อยากทำหนังสายลับผู้หญิงที่มีกลิ่นอาย James Bond และ Mission Impossible
  • คำวิจารณ์ของหนังเรื่องนี้แย่หนักมาก เว็ปไซต์ Rotten Tomatoes ระบุว่ามีคนชอบเพียงแค่ 25%
  • หนังเรื่องที่ 2 ที่ Simon Kinberg. กำกับและส่อแววว่าจะขาดทุนยับไม่ต่างจากผลงานเก่า X-Men: Dark Phoenix