The Bourne Supremacy (2004)

สุดยอดเกมล่าจารชน

The Bourne Supremacy Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังสายลับที่พลิกโฉมหน้าวงการ บทหนังเข้มข้น ฉากแอ็คชั่นมันส์ แฝงไปด้วยประเด็นทุจริตการหักหลังทรยศ แต่ที่ยอดเยี่ยมคือ Matt Damon ที่เล่นบทบู๊ได้เจ๋ง

หมวดหมู่ : Action Thriller
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Paul Greengrass
ความยาว : 1 ชั่วโมง 48 นาที
นักแสดงนำ : Matt Damon, Julia Stiles, Karl Urban

คำคมจากภาพยนตร์

"Everything has changed when knowing the truth."
“ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อได้รู้ความจริง”

เรื่องย่อ

Bourne คิดว่าเขาสามารถหนีจากอดีตของเขาได้แล้ว แต่ทว่า อดีตของเขากำลังกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆมีลายนิ้วมือของเขาไปปรากฏในเบอร์ลิน หลังมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น แน่นอนว่าเขากลายเป็นเป้าหมายของ CIA และโดนตามล่าไปยังอินเดียจากบุคลิกปริศนาที่หวังฆ่าปิดปาก ทำให้เขาต้องออกไปค้นหาความจริงใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายเขาในครั้งนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Bourne Supremacy นั้นจะเหมาะกับคอหนังแอคชั่นสายลับอยู่แล้ว หรือกับคนที่เป็นแฟนตัวนิยายต้นฉบับมาก่อนก็น่าจะชอบในเวอร์ชั่นหนังนี้เช่นกัน เพราะด้วยความสนุกแบบหนังสายลับที่ไม่ได้เห็นมานาน ด้วยเนื้อเรื่องตามฉบับหนังจารชน ที่อาศัยการชิงไหวชิงพริบ และทักษะการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดก็ทำออกมาได้ดีเหลือเกิน จนไม่แปลกใจนักหากคอหนังสายลับในยุคหลังๆ จะเก็บ The Bourne Supremacy เอาไว้ในดวงใจมาโดยเสมอ ก็ถ้าหากใครชอบหนังสายลับโทนจริงจัง แบบ Bond ในยุค Daniel Craig แล้ว จะชอบหนังตระกูลนี้ไม่ยากเลย

  • สายหนังแอคชั่นสายลับ
  • สายหนังจารชนสุดมันส์

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ถ้ามองย้อนกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งเราจะพบว่านี่คือส่วนผสมชั้นดีที่หนังสายลับที่ควรจะมี ฉากแอ็คชั่นที่ลุ้นระทึก บทดราม่าที่กดทับเข้าไปยังความรู้สึกตัวละคร ลากยาวไปยังปัญหาที่ตัวละคร Jason Bourne พบเจอ ทำให้ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้สร้างและมือเขียนบท James Bond ยึดหนังเรื่องนี้เป็นต้นแบบนำไปประยุกษ์ใหม่ จนกลายเป็นภาพที่ดิบดุดันของ Daniel Craig ใน Casino Royale ลักษณะท่าทางของ Bourne คือชายที่มีทักษะการเอาตัวรอดที่เหนือชั้นไหวพริบดี แก้ปัญหาเฉพาะหน้า หยิบจับอาวุธรอดด้านมาฆ่าคน แต่ที่ไม่เหมือนใครคือเก่งแค่ไหนก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด จากคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักนักฆ่าที่หวังปิดชีวิตเขา การวางโครงเรื่องนักฆ่าความจำเสื่อมที่ถูกหลอกใช้ให้ไปฆ่าคนตามเป้าหมายขององค์กร พอทำงานผิดพลาดโดนตามเก็บ วิ่งหนีเอาตัวรอด หนังภาค 2 ที่ Bourne อยู่เฉยๆกลายเป็นแพะรับบาปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร พาเขาออกจากที่ซ้อนกลับไปสู่โลกภายนอกอีกครั้ง เราได้เห็นการจัดวางโลเคชั่นกับเนื้อหาหนังที่สอดคล้องกันบทหนังจากปลายปากกา Tony Gilroy มอบสถานการณ์ที่กดดันตื่นเต้นบีบคั้นไปในเวลาเดียว Bourne ต้องแก้เกมแก้ปัญหา จากสิ่งที่เขาไม่ได้สร้างไว้ หาตัวคนร้ายตัวจริง จากอินเดียไปเยอรมันมาจบที่รัสเซีย

หนังทำให้เราได้เห็นภาพว่าโลกในยุคต่อไป สายลับนักฆ่าผู้ร้ายตำรวจก็มีสถานะที่เป็นได้ทั้งคนร้ายและคนดีแฝงตัวปะปนกันไป Bourne ถูกมองว่าเป็นนักฆ่าที่กุมความลับยังไงก็ต้องถูกกำจัด แต่ในอีกมุมหนึ่ง องค์กรที่หวังปิดปากเขา กลับทำตัวหนีปัญหาลอยตัว เพราะคนมีอำนาจคิดว่าป้ายความผิดที่ตัวเองก่อไว้ให้คนอื่น มีอยู่ฉากหนึ่งที่ คนร้ายตัวจริงกดดันมากเลยพยายามขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรอีกครั้ง แต่อย่างที่รู้กันคนเราเมื่อมีผลประโยชน์เกาะกินกันมานาน เมื่อถึงเวลาวิกฤติก็พร้อมจะทิ้งกันได้เสมอ ไม่มีใครอยากจะจบเห่ไปด้วย ภาคที่แล้วว่าสนุก แต่ Supremacy ยกระดับความมันส์ทวีคูณเข้าไปอีก เป็นการสายต่อเรื่องราวได้สนุก หนังไม่ได้ใส่ฉากแอ็คชั่น แต่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้ตามเก็บรายละเอียดระหว่างทางไปด้วย เพราะไม่ได้มีแค่ประเด็นไล่ล่า Bourne เท่านั้น แต่ยังมีคดีทุจริตของคนใน CIA รวมอยู่ด้วย ข้อดีของหนังภาคนี้คือการเล่าเรื่องที่ใกล้ชิดไปกับตัวละครหลัก และเมื่อหนังอยู่ในมือของผู้กำกับ Paul Greengrass ที่เคยผ่านงานเป็นนักข่าวภาคสนามมาก่อนทำให้เขารู้ดีว่าจะทำยังไงให้หนังออกมาลุ้นระทึก ฉากแอ็คชั่นดิบเถื่อน ไม่เน้นปืน บทสนทนา บทพูดคมคายมากขึ้น เฟรมภาพของหนังรวดเร็วมากๆ Oliver Wood คุมงานภาพจังหวะหนังออกมาดีทำให้ฉากที่รัสเซียเป็นความมันส์แบบที่ยังไม่มีหนัง Hollywood เรื่องนี้ทำได้มาก่อน

Matt Damon คือชายหนุ่มที่ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกมาก ลบภาพจำพระเอกดราม่ากลายเป็นแอ็คชั่นสตาร์ ภาพของหนังจึงไม่ได้แค่ขายฉากบู๊ แต่เน้นการต่อสู้ในแง่ของการไขคดีไขหาความจริง นักฆ่าสายลับที่มาด้วยสไตล์วิ่งหนีซ่อนตัวในเงามืด คาแรกเตอร์นี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเขาอีกแล้ว เลยเป็นการผลักดันให้ตัวละครอื่นมี Impact กับหนังไปพร้อมๆกัน เช่น Franka Potente รับบทเป็นแฟนสาว ผู้หญิงที่เคราะห์ร้ายเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับหนังภาคนี้ หรือคู่ปรับที่ดูสมน้ำสมเนื้อ Karl Urban ที่ไล่ล่าไปแบบสุดขอบโลก, Joan Allen นักแสดงตัวแม่ที่มาขับเคลื่อนให้หนังภาคนี้ดูคลี่คลาย, Brian Cox ที่แสดงได้น่ากลัวหวาดระเวงไปในเวลาเดียวกัน กลุ่มนักแสดงชั้นนำเหล่านี้ช่วยทำให้หนังภาคนี้เลยเป็นการปูทางไปสู่การปิดไตรภาคที่มันส์สะใจใน The Bourne Ultimatum

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Matt Damon เกือบไม่ได้กลับไปถ่ายทำ Oceans 12
  • ผู้กำกับควักเงิน 2 แสนเหรียญเพื่อเปลี่ยนฉากจบหนังตามใจ Matt Damon