Gladiator (2000)

นักรบผู้กล้าผ่าแผ่นดินทรราช

Gladiator Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

สุดยอดหนัง Epic อลังการงานสร้าง ถ่ายทอดเรื่องราวได้ยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังการแสดง สมศักดิ์ศรีที่มีรางวัลมาประดับเต็มตัว

หมวดหมู่ : Action Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Ridley Scott
ความยาว : 2 ชั่วโมง 35 นาที
นักแสดงนำ : Russell Crowe, Joaquin Phoenix

คำคมจากภาพยนตร์

“What we do in life, echoes in eternity.”
“สิ่งที่พวกเราทำในชีวิตนี้ จะสะท้อนดังกึกก้องไปชั่วนิรันดร์”

เรื่องย่อ

แม็กซิมัส เดคิมัส เมริดัส นายพลแห่งกองทัพโรมันที่มีผลงานเด่นชัดในการขยายอาณาจักร จนเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ ซีซาร์ มาคัส ออรีรุส ในทางเดียวกันแม็กซิมัสก็เคารพนับถือเขาเปรียบเสมือนเป็นพ่อของเขาเช่นกัน จนกระทั่งวันนึง คอมโมดุส ลูกชายแท้ๆ ที่เหลวแหลกของซีซาร์ เกิดทราบข่าวว่า พ่อของเขามีแผนจะให้ แม็กซิมัส เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิแทน นั่นเลยเป็นชนวนเหตุให้ คอมโมดุส ฆ่าพ่อตัวเอง และโยนความผิดให้กับ แม็กซิมัส จนทำให้ครอบครัวของเขาถูกสังหารโหด ตัวเขาเองก็ถูกจับเป็นทาส จนได้ผันตัวเองสู่นักสู้ในโคลอสเซียม ที่มีเป้าหมายในการเอาชีวิตรอดออกไปเพื่อล้างแค้นให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Gladitor นั้น จะเหมาะกับคนที่ชอบหนัง Epic ย้อนยุคแบบยิ่งใหญ่อลังการ จัดเต็มทั้งคอสตูมและงานโปรดักชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่อยากเห็นกรุงโรมหรือฉากโคลอสสเซียมถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่ ประกอบกับฉากแอคชั่นสุดมันส์ และดราม่าสุดเข้มข้น ที่มีรางวัลน้อยใหญ่มาการันตีคุณภาพแล้ว นี่คือหนังสำหรับคนดูกลุ่มนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับคนที่อาจไม่ชอบความพีเรียดเพราะให้ความรู้สึกเหมือนดูลิเก กับละครฉากใหญ่ที่ว่าด้วยการล้างแค้นแล้ว อาจจะลองดูช่วงต้นก่อนก็ได้ว่ารู้สึกอย่างไร เพราะหากติดใจแล้วรับรองว่าดูยาวไปจนจบได้ไม่ยาก หากใครชอบหนังแอคชั่นย้อนยุคสไตล์ Troy, Ben Hur หรือซีรีส์อย่าง Spartacus แล้ว ยิ่งต้องดูเรื่องนี้แบบพลาดไม่ได้เลย 

  • สายหนังอิพิคย้อนยุค
  • สายหนังแอคชั่นย้อนยุค
  • สายหนังคลาสสิคยุค 90

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังย้อนยุคโคตร Epic แห่งศตวรรษที่ 20 อันทรงคุณค่า และเป็นที่รักของใครหลายๆ คนมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งด้านรายได้ที่กวาดจากทั่วโลกไปถึง 465 ล้านเหรียญ และเข้าชิงรางวัลออสการ์เยอะเป็นประวัติการณ์ถึง 12 สาขา จนคว้ามาได้ถึง 5 สาขา รวมถึงรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย และนอกจากนี้หนังก็ยังมีฉบับ Extended Edition ออกมาให้แฟนๆ หนังเรื่องได้เต็มอิ่มกันมากขึ้นกับรายละเอียดสุดเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งส่วนนึงที่ทำให้ตัวหนังสร้างความโดดเด่นเป็นอย่างมากในยุคนั้น ก็คือความอลังการงานสร้างในการเนรมิตฉากโคลอสเซียม สนามประลองนักสู้ Gladiator ได้ชวนอ้าปากค้าง เพราะมันทำออกมาได้ยิ่งใหญ่และดูสมจริงมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่สร้างมาในยุคนั้นจริงๆ

การคืนชีพของกรุงโรมขึ้นมาใหม่นั้น ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความยิ่งใหญ่อลังการไปในฉากหลังของเรื่องราวเท่านั้น เพราะเมื่อใส่ฉากแอคชั่นต่างๆ ลงไปด้วย มันเลยเพิ่มความสมจริงให้รู้สึก โหด ดิบ มันส์ ชวนลุ้นได้ในแต่ละฉากที่ถูกดีไซน์ออกมาเป็นอย่างดี ทั้งฉากดวล 1-1 ทั้งฉากรถม้า หรือการใส่เสือเข้ามาในการต่อสู้ จนทำให้การฉากต่อสู้ค่อยๆ ยกระดับได้เดือดขึ้นไปถึงจุดพีคในช่วงท้าย พอไปประกอบกับดนตรีของ จอห์น วิลเลียมส์ ที่สร้างมนต์ขลังมาแล้วให้หนังหลายต่อหลายเรื่อง ก็ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ร่วมที่ทำเอาคนดูต้องลุ้นไปกับหนังจนแทบลืมหายใจ 

การเลือกนักแสดงมาเป็นอีกส่วนที่ช่วยผลักดันให้หนังมาได้ไกลมาก ทั้งตัว รัสเซล โครว์ เองที่ดึงพลังการแสดงออกมาเล่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพาร์ทแอคชั่น หรือดราม่า หรือรีดอารมณ์ออกมาได้อย่างเข้มข้นจนนำไปสู่ฉากสุดท้ายที่แสนทรงพลังและเป็นที่น่าจดจำอย่างยิ่ง จนสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานำชายมาได้อย่างไม่แปลกใจ ในส่วนดาราคนอื่นๆ เองก็เสริมพลังกันไม่แพ้กัน ทั้งวายร้ายที่คนดูเกลียดสุดๆ อย่าง วาคีน ฟินิกซ์ ก็ดูชั่วได้ใจคนดูมาก เชือดเฉือนกับตัวเอกได้อย่างสนุก และทำให้หลายๆ คนไม่ไว้ใจในอารมณ์ที่รุนแรงของเขา ส่งผลให้ดาราหลายๆ คนต่างก็ขึ้นมาแถวหน้าของฮอลลีวู้ดได้หลังจากหนังเรื่องนี้เลย ด้วยองค์ประกอบที่ดีงามทั้งหมดนี้ก็ไม่แปลกใจนัก หาก Gladiator ยังคงเป็นหนังที่ยังมีคนหยิบมาดูได้อย่างซ้ำๆ และสนุกไปกับมันได้ถึงทุกวันนี้ จนสามารถนับเป็นหนังคลาสสิคของยุค 90s ได้อีกเรื่องเลย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังการันตีคุณภาพด้วยรางวัล Best Film มาจากหลายสำนัก รวมไปถึงสำนักใหญ่ๆ อย่าง Oscars, Golden Globes และ BAFTA ด้วย
  • ในฉากที่ Joaquin Phoenix ข่มขู่ Connie Nielsen ในบทของพี่สาวที่ทรยศต่อเขา ด้วยการแผดเสียงคำว่า “Am I not merciful?” นั้น ทำเอา นักแสดงอย่าง Connie ถึงกับตกใจด้วยความไม่ตั้งตัว จนทำให้ผู้กำกับ Ridley Scott ก็เลือกเทคนี้มาใช้
  • หลังจากผ่านฉากต่อสู้อันโหดร้ายมาตลอดเรื่อง ตัวนักแสดง Russell Crowe เองก็ออกมาบอกว่า นิ่้วชี้มือขวาของเขาหมดความรู้สึกไป 2 ไปหลังจากฉากประลองดาบ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของกระดูกส่วนอื่นๆ ตามตัวที่หักอีกมากมาย จากการที่เล่นฉากบู่แบบไม่กลัวเจ็บด้วยตัวเอง