The Day After Tomorrow (2004)

วิกฤตวันสิ้นโลก

The Day After Tomorrow Poster
7.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

เมื่อธรรมชาติกำลังเอาคืนมนุษย์ หนังที่เต็มที่ไปด้วยฉากถล่มโลกใหญ่ๆ
พร้อมกับการเอาชีวิตรอดของตัวละคร ที่ดูชวนลุ้นระทึก และบันเทิงถึงใจ

หมวดหมู่ : Action Adventure Sci-Fi
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Roland Emmerich
ความยาว : 2 ชั่วโมง 4 นาที
นักแสดงนำ : Dennis Quaid, Jake Gyllenhaal, Emmy Rossum

คำคมจากภาพยนตร์

“When this storm is over, we'll be in a new ice age.”
“เมื่อพายุในครั้งนี้จบลง เราก็คงเข้าสู่ยุคน้ำแข็งกันไปแล้ว”

เรื่องย่อ

แจ็ค ฮอลล์ นักบรรพชีวินวิทยา ที่พบการแยกต้วของน้ำแข็งในแถบแอนตาร์คติก จึงรีบดำเนินการแจ้งกับที่ประชุม แต่กลับไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เมื่ออุณหภูมิของอากาศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดที่มวลมนุษย์เคยเผชิญ ในขณะเดียวกัน แซม ฮอลล์ ลูกชายของเขาก็กำลังจะเดินทางไปตอบคำถามวิชาการกับเพื่อร่วมชั้น ก็ได้เผชิญกับเหตุการณ์คลื่นลูกยักษ์ที่ซัดเข้ามาในเมืองพอดี พร้อมกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แจ็คจึงเดินทางขึ้นไปเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเขา

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Day After Tomorrow นั้น เหมาะกับคนที่ชอบหนังประเภทภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติถล่มโลก หรือการเอาชีวิตรอดของตัวละครได้เป็นอย่างดี ด้วยฉากเล่นใหญ่หลายๆ ฉากที่พาไปถึงในระดับโลกล่มสลาย ที่แม้ว่าจะดูมีความแฟนตาซี แต่ก็สร้างความตื่นเต้นชวนลุ้นระทึกได้อยู่ไม่น้อย หากใครที่ชอบหนังทำลายล้างโลกในแบบ 2012, Geostorm หรือ San Andreas แล้ว ก็น่าจะชอบหนังวิกฤตโลกร้อนที่รวมฉากมหันตภัยแบบครบรสในเรื่องนี้ได้เช่นกัน

  • สายหนังภัยธรรมชาติถล่มโลก
  • สายหนังเอาชีวิตรอด
  • สายหนังโลกแตก

รีวิว / สรุปเนื้อหา

อีกหนังที่สะท้อนภาพที่ธรรมชาติกำลังเอาคืนมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เมื่อการทำลายธรรมชาติของมนุษย์ในทุกวันนี้ไม่หยุดหย่อน จนอาจนำไปสู่เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่น่ากลัวแบบในหนังก็ได้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็มาอยู่ในมือของผู้กำกับจอมทำลายล้างอย่าง Roland Emmerich ที่ชอบสรรค์สร้างวิธีการทำลายล้างโลกมาโดยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำมือของมนุษย์ต่างดาว สัตว์ประหลาด หรือภัยธรรมชาติจนทำให้โลกแตกสลายด้วยตัวเองก็ตาม ซึ่งในเรื่องนี้ก็หยิบเอาภัยธรรมชาติให้กลายมาวิกฤตขนาดใหญ่ในระดับที่ล้างโลกกันได้เลยทีเดียว

หนังมีฉากใหญ่ๆ มากมาย ที่เมืองใหญ่ต่างๆ ในโลกต่างได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติอันรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทั้งพายุขนาดใหญ่ น้ำท่วมรุนแรง ไปจนถึงอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ที่ทำออกมาได้อลังการงานสร้าง และยิ่งใหญ่สมใจอยากดีเหลือเกิน ด้วยความที่หนังมีวิทยาศาสตร์มารองรับแบบเบาๆ ตามสไตล์ไซไฟ ก็ยิ่งทำให้เราแอบรู้สึกว่ามันพอจะเป็นไปได้ในระหว่างที่ดู จนสามารถอินและร่วมลุ้นระทึกไปกับหนังได้มาก กับบรรดาฉากใหญ่ๆ ที่ถล่มกันได้สนุกขนาดนี้ (แม้ว่าในความจริงก็คงเว่อร์ไปมาก และฉากน้ำแข็งที่ดูคลืบคลานเสมือนสัตว์ประหลาด ก็ดูเป็นอะไรที่หลุดโลกดีซะเหลือเกิน)

ซึ่งนอกจากฉากใหญ่ในหนังแล้ว หนังก็ยังอุตส่าห์เพิ่มพล็อตที่พ่อ ตามหาลูกชายเข้าไปด้วยภายใต้อากาศอันหนาวเหน็บ ก็เป็นอีกส่วนที่ชวนลุ้นระทึก และเพิ่มสถานการณ์ให้คนตื่นเต้นไปกับการเอาชีวิตรอดของพวกเขาได้อยู่ไม่น้อย แต่ในข้อเสียของหนังก็คงเป็นข้อเสียเดิมๆ ตามสไตล์ของผู้กำกับ Roland Emmerich ที่มีจุดเด่นที่เน้นฉากถล่มทลาย แต่พอฉากที่เหลือกลับรู้สึกแห้งๆ ไปอยู่ไม่น้อย กับบรรดาตัวละครที่ไม่ค่อยมีมิติเท่าไร รวมถึงในฉากที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรก็ชวนอืดอยู่ไม่น้อย กับการนั่งดูตัวละครคุยกัน หรือพล่ามทฤษฎีหลายๆ อย่าง จนดูจืดไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทั้งนี้มันก็ยังเป็นหนังมหันตภัยอีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำ พร้อมกับฉากเล่นใหญ่สวยๆ ตามสไตล์ผู้กำกับที่ทำออกมาได้สนุกดี

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ทางค่าย 20th Fox ได้เชิญกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มาร่วมรับชมหนังเรื่องนี้ก่อน เพื่อดูผลตอบรับจากพวกเขาจากความเป็นวิทยาศาสตร์ในเรื่อง แต่กลับไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนที่แสดงอาการประทับใจเลย แม้ว่าส่วนมากจะยืนยันว่าเป็นหนังสนุกที่ไม่สมเหตุสมผลก็ตาม
  • ในปี 2008 หนังติด Top 10 ของหนัง Yahoo ที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับวิทยาศาสตร์ที่สุด