The Outpost (2020)

ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย

The Outpost Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังสงครามที่อิงจากเรื่องจริงให้อารมณ์สารคดีมันส์มากดุเดือดเหมือนพาคนดูไปสัมผัสประสบการณ์จริงๆ ฉากยิงกันแบบ Long Take บิ้วอัพผู้ชมได้ดีเหลือเกิน

หมวดหมู่ : Action War
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Rod Lurie
ความยาว : 2 ชั่วโมง 3 นาที
นักแสดงนำ : Scott Eastwood, Caleb Landry Jones, Orlando Bloom

คำคมจากภาพยนตร์

"Only dictators believe wars and violence will bring peace."
"มีแต่คนบ้าอำนาจที่เชื่อว่า สงคราม และการใช้ความรุนแรงจะนำมาสู่สันติ"

เรื่องย่อ

ดัดแปลงมาจากหนังสื่อจากนักข่าวสงครามของช่องซีเอ็นเอ็น เจค แท็ปเปอร์ The Outpost: An Untold Story of American Valor เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2009 เมื่อกองกำลังทหารสหรัฐฯ 53 นาย ได้ประจำการอยู่ที่ด่านหน้า เพื่อรักษาฐานที่มั่นบริเวณหุบเขาคัมเดซ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน ใกล้กับชายแดนปากีสถาน แต่ปรากฏว่าพวกเขาถูกดักจู่โจมโดยกลุ่มทหารตอลิบานกว่า 300 นาย กลายเป็นยุทธการสาดกระสุนกันอย่างโครมครามในหุบเขาอันห่างไกลจากความเจริญ เหตุครั้งนี้ทำให้มีทหารอเมริกันเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บอีก 27 นาย ขณะที่ทหารฝ่ายตรงกันข้ามเสียชีวิตนับร้อยชีวิต

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Outpost ก็เป็นหนังกึ่งๆสารคดีสงคราม ที่เป็นภารกิจทางการทหารในอัฟกานิสถาน สเกลใหญ่เป็นแอคชั่นการเอาชีวิตรอด ของนายทหารกว่า 50 ชีวิตที่โดนซุ่มยิงในดินแดนของข้าศึก ที่จะทำให้คนดูร่วมลุ้นไปกับพวกเขาจนลืมหายใจ เหตุการณ์ที่ยกมาจากเรื่องจริง ทำให้มันเหมาะกับหนังแอคชั่นแบบเอาชีวิตรอดเป็นอย่างมาก เพราะหนังเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นสุดสมจริงชั้นดี ที่มีทั้งงานภาพงานเสียงที่ชวนลุ้นระทึก ใครที่ชอบพล็อตเรื่องสไตล์นี้อย่าง The Lone Survivorนี่ก็คืออีกเรื่องที่มีคุณภาพมาก ในแง่ของการเติมพาร์ทดราม่าดีๆ และแอคชั่นสุดเดือดเข้าไป

  • สายหนังแอคชั่นกึ่งสงคราม
  • สายหนังแอคชั่นเข้มข้น
  • สายหนังหน่วยซีล

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ยังจำเรื่องนี้ได้ตอนเข้าฉายโรงเมื่อปี 2020 นี่คือหนังสงครามที่ให้ความดุเดือดสมจริงยิงกันตูมตามเหมือนอยู่ในเกมและพ็อตเรื่องก็มาจากเหตุการณ์จริงๆของการต่อสู้ของทหารอเมริกันที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากดงกระสุนจากกองกำลังตาลีบัน พวกเขาแค่จะไปทำความเข้าใจกับผู้คนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่แต่ไม่รู้เลยว่าชาวบ้านบางคนก็แฝงตัวหวังจะเล่นทหารอเมริกัน จริงๆภาพของพวกเขาคือสร้างสันติสุข ไม่ได้ไปก่อสงครามกับใคร ช่วงแรกของหนังมันดูสมจริงมากทำให้ดูเหมือนสารคดีผ่านตัวละครที่ต้องช่วยเหลือกันและกัน ไม่มีใครมาทำตัวเหลือกว่า เพราะแวดล้อมมันเต็มไปด้วยความยากลำบาก การมาตั้งแคมป์กลางหุบเขากลับกลายเป็นว่าดูซุ่มโจมตี พูดกันตามตรงหนังคล้ายๆ Lone Survivor แต่ดูสมจริง เทคนิคการเล่าเรื่องดูทรงพลังกว่าหลายเท่า ภาพของหนังซื่อตรงดูสนุกไม่มีอ้อมค้อมไม่มีกั๊ก จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้พูดถึงความห่วยแตกของความล้มเหลวของกองทัพในการช่วยเหลือทหารของตน มันเลยเกิดเป็นเรื่องของเหล่าวีรกรรมทหารกล้าที่มีเพียงกันและกัน ต่อสู้เคียงบ่าเคียงกัน ทหารดาหน้ากันยิงปืนต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด เสียสละชีวิตทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเสี่ยงตายอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ บรรยากาศหนังมันกดดันคาดเดาอะไรไม่ได้ว่าจะมีฉากโดนซุ่มยิงช่วงไหน

สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้ การแก้ปัญหาของทหารที่ส่งคนไปรบไปสร้างความเข้าใจหวังว่าจะสร้างสันติมันดูไม่ค่อยจะจริงสักเท่าหร่ เพราะหลากหลายชีวิตเสี่ยงตายไปไม่ได้ช่วยหยุดยั้งสงครามได้จริงๆ การใช้ความรุนแรงไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรจริงๆ ทหารชั้นผู้น้อยไปตายคนใหญ่คนโตไม่ได้รับรู้อะไร ช่วงแรกที่ปูเรื่องของหนังทำให้เราได้เห็นความเห็นอกเห็นใจตัวละคร ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันและใช้ชีวิตเสี่ยงตาย ภาพของหนังจึงได้เห็นความเป็นธรรมชาติของตัวละครที่มุมกล้องนำเสนอออกมาได้จริงจังติดตามไปในทุกๆเหตุการณ์แบบใกล้ชิดเฟรมภาพ ฟุตเทจที่ใช้มีความดิบ การดีไซต์ฉากแอ็คชั่นในการรบออกมาได้ดุเดือดดุดันเสมือนพาเราไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ โครงเรื่องนี้ไม่ได้เลียนแบบการสร้างหนังแอ็คชั่นสงครามเรื่องไหน และตีความออกมาได้ดีมีสไตล์เป็นของตัวเอง งานภาพ Longtake เยอะมาก กระสุนมาให้เพียบ ระเบิดตูมตาม การลำดับภาพ การมิกซ์ซาวด์ประกอบ คุณภาพมาก มันคลุกเคล้าองค์ประกอบของหนังฮาร์ดคอร์ บิ้วอารมณ์ให้ผู้ชมสนุกไปกับเรื่องราวได้ตลอดรอดฝั่ง

โปรดักชั่นดีโครงสร้างหนังสอบผ่าน ถ้าไม่ได้การแสดงของนักแสดงก็คงไม่มีทางที่เราจะได้เห็นงานคุณภาพแบบนี้แน่ๆ ความดีความชอบนี่คงต้องยกให้นักแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น ​​ Scott Eastwood ได้เห็นบทเดือดๆในเรื่องนี้สักที แต่ที่ขโมยซีนน่าจะเป็น Caleb Landry Jones ท่ีเขาได้มอบพลังงานการแสดงที่มีคุณภาพเอาไว้ ทหารที่กล้าหาญยึดมันต่อสู้ปล่อยของแทบทุกฉาก ต้องยอมรับว่างานการกำกับของ Rod Lurie ค่อนข้างเนี๊ยบทำหนังให้มีคุณภาพไม่ได้ขายแค่แอ็คชั่นยิงกันตูมตามแต่ยังแฝงไปด้วยประเด็นดราม่าที่หนักหน่วงที่ดูแล้วหดหู่น่าสะเทือนใจ เชิดชูความกล้าหาญ ผ่านทุกตัวละคร ดูจบแล้วมีแอบนำ้ตาซึมจริงๆ

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ฉากสงครามในอัฟกานิสถานไปถ่ายที่ประเทศบัลแกเรีย
  • หนังอาจไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้ แต่ยอดการซื้อหนังผ่านระบบสตรีมมิ่งกลับไปได้สวย