เรื่องย่อ

สายลับ CIA นิรนามคนหนึ่งเกิดทำภารกิจผิดพลาดที่เคียฟ โดนจับและกำลังจะโดนฆ่าตายจากฝั่งรัสเซีย แต่เขากลับตื่นขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย และถูกดึงเข้าสู่แผนจารกรรมครั้งสำคัญขององค์กรลับปริศนาภายหลังการตายของเขาที่มีเพียงคำว่า Tenet ที่เป็นกุญแจนำทาง และเขาต้องออกเดินทางในแทบทุกมุมโลก เพื่อค้นหาเบาะแสสำคัญที่จะหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เชื่อว่าเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม ร่วมกับนีล ชายหนุ่มปริศนาที่มาช่วยทำภารกิจในครั้งนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Tenet นี่เป็นหนังที่คอหนังสายลับคอหนังไซไฟควรค่าแก่การดูสักครั้งในชีวิต เนื้อหาสลับซับซ้อนด้วยพล็อตวิทยาศาสตร์ที่เล่นกับประเด็นลูปเวลาที่ย้อนกลับหลัง วายร้ายเหนือชั้นกว่าพระเอก หนังมีกลิ่นอายความเป็น James Bond ที่มีความหวือหวายากจะคาดเดา สร้างความตื่นเต้น บางคนดูซ้ำมันหลายรอแต่ยังไม่เข้าใจทั้งที่ความจริงภาพของหนังพูดถึงอดีตปัจจุบันและอนาคตและเล่าเป็นเส้นเรื่องเดียว ที่มาด้วยบรรยากาศแบบหนังระทึกขวัญสอดแนมจากต้นแบบ 007 ความอลังการที่หนังเสิร์ฟคนดูกลายเป็นความบันเทิงที่เต็มอิ่มจุใจ

• สายหนังสายลับ
• สายหนังไซไฟ
• สายหนัง Nolan

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ถ้าจะบอกว่า Christopher Nolan ทำหนังสายลับในสไตล์ James Bond แบบฉบับตัวเอง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริง เขาหลงใหลหนังแบบนี้มานานแล้ว พอมีจังหวะและโอกาส นำวิธีการเล่าเรื่องแบบไซไฟที่สลับซับซ้อนแบบที่ตัวเองถนัดมาตีความเหมือนโชว์มายากล จนแฟนหนังบางคนดูแล้วงงไม่เข้าใจและต้องมาดูซ้ำๆหลายรอบ เพื่อกับตั้งข้อถกเถียงเยอะมากๆในช่วงนั้น แต่สำหรับคนที่ชอบ James Bond หนังเรื่องนี้กลับไม่ได้ดูยาก เพราะหนังบอกถึงการทำงานที่ผิดพลาดของสายลับคนหนึ่งที่ต้องการจะกลับไปแก้ไขอดีตของตัวเอง เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ พล็อตเรื่องจึงเชิญชวนให้ผู้คนตั้งคำถามด้วยพล็อตเรื่องที่เล่นประเด็นเวลาย้อนกลับแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าฉีกกรอบทำในโลกภาพยนตร์มาก่อน เพียงแต่ว่าตัวร้ายในเรื่องกลับฉลาดแยบยลกว่าหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่เขาครอบครองอาวุธที่สามารถท่องไปในเวลาย้อนกลับไปในอดีตเพื่อรู้ว่าพระเอกซ่อนของสำคัญไว้ที่ไหน มีข้อมูลมากกว่าพระเอกพอจะเล่นงานในปัจจุบันได้ หนังจึงบอกให้คนดูรับรู้ว่าคนร้ายอยู่เหนือกว่าพระเอก 1 ก้าวเสมอ เมื่อมองดูแล้วงานเรื่องนี้น่าหลงใหลตั้งแต่ฉากแอ็คชั่นที่ดูดุเดือด ไอเดียล้ำๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แม่งทำไปได้การสร้างฉากถอยหลังให้ตัวละครใส่หน้าหากตัดภาพสลับภาพไปมา จนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใครเป็นคนทำกันแน่

พอหนังงัดทฤษฏีหลักการวิทยาศาสตร์เข้ามา สร้างสรรค์ให้มันดูเวอร์วังอลังการ มันทำให้คนดูออกนอกกรอบ ทั้งที่ความจริงแล้วนี่คือหนังสายลับของ Nolan ที่นำเรื่อง เวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคตมาร้อยเรียงเรื่องราวเป็นเส้นเดียวกันไม่ว่าเวลานั้นจะเดินไปข้างหน้า หรือถอยหลัง งานวิชวลแบบล้ำๆคือเครื่องหมายการค้าของหนังเรื่องนี้เล่นใหญ่จนคนดูจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเลือกวางพล็อตเรื่องเกี่ยวกับโลกที่แสนวุ่นวายความเลวร้ายที่มาจากความเห็นแก่ตัวของคน และเรื่องนี้เขาก็เดินเรื่องให้สายลับกลุ่มคนบางกลุ่มมาจัดการผู้ก่อการร้าย การจัดวางงานภาพคือไฮไลท์หลักของหนังของ Nolan เขาได้เห็นเทคนิคการถ่ายทำแบบย้อนกลับที่สร้างความฮือฮามาแล้วใน Memento กลับมาใช้ในงานชิ้นนี้ มันทำให้เราว้าวมากๆ การสร้างความสมจริงในหนังที่ไม่ได้ใช้ CGI ทำให้การออกแบบแทบทุกฉากอลังการงานสร้าง ผสมผสานกับซาวด์ประกอบจาก Ludwig Göransson ที่ทำให้ดีกรีของหนังมันดังสนั่นยิ่งกว่าเดิมดนตรีเร้าอารมณ์ตั้งแต่ฉากแรกไปจนถึงฉากสุดท้าย

ด้านนักแสดงที่ทุกคนรับรู้แค่บทคาแรกเตอร์ของตัวไม่มีใครรู้ตอนจบหรือบทของคนอื่น ทำให้ Nolan ได้นักแสดงที่เล่นได้ตอบโจทย์ที่ต้องการ John David Washington ที่พลิกบทบาทขึ้นมาเป็นพระเอกหนังฟอร์มยักษ์เต็มตัว นิ่งเยือกเย็น โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ Robert Pattinson สุดหล่อที่มารับบทสายลับคู่หูช่วยทำภารกิจ เขาไม่ได้ขายหน้าตา แต่พิสูจน์แล้วว่ามีเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงคุณภาพ คาแรกเตอร์กวนๆยากที่จะคาดเดา คืนฟอร์มอีกครั้ง หลังก่อนหน้าห่างหายจากการเล่นหนังบล็อคบัสเตอร์ไปนาน Aaron Taylor-Johnson นักแสดงที่ Nolan วางตัวเป็นคนซัพพอร์ทเรื่องราว กลายเป็นตัวละครลับที่มีความสำคัญในการทำภารกิจ มาไม่กี่ฉากแต่สร้าง Impact ได้มหาศาล, Elizabeth Debicki หญิงสาวออสซี่พกพาความสวย เล่นบทดราม่าที่เจ็บปวดทรมานซะเหลือเกิน, Kenneth Branagh ผู้ก่อการร้ายจอมอำมหิตที่โหดเหี้ยม ที่เติมเต็มให้หนังน่ากลัวไปอีกระดับ