6 สิ่งจากหนัง The Secret Life of Walter Mitty ที่ทำให้เราอยากกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง
หากจะพูดถึงหนังที่สร้างแรงบันดาลใจดีๆ สักเรื่องที่ยังไม่เก่ามากนัก แอดก็เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะมี The Secret Life of Walter Mitty ติดอยู่ในใจกันอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่จำความได้หลังดูหนังจบนั้นก็มีความรู้สึกอยากแพคกระเป๋าออกไปเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยในทันที ด้วยความที่หนังสื่อออกมาได้แบบเข้าใจง่าย และเข้าถึงคนดูได้อย่างเต็มที่ จึงไม่แปลกใจนักหากใครได้ดูก็ต่างหลงรักกันทั้งนั้น
วันก่อนแอดได้มีโอกาสหยิบมาดูอีกครั้ง รู้เลยว่ามันเป็นความทรมานมาก กับการติดแหง่กอยู่ในช่วงนี้ ที่ใช้ชีวิตก็ลำบาก ทำมาหากินก็ยากไปหมด เลยอยากกลั่นแนวคิดดีๆ 7 ข้อจากหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เรามีกำลังใจอยากกลับมาใช้ชีวิตกันอีกครั้ง
ไม่พบชีวิตใหม่ ถ้าไม่ออกจากที่เดิมๆ
ปัญหาหนึ่งที่ทำให้ชีวิตตัวเอกในเรื่องนั้นไม่มีความสุขเลยก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องความซ้ำซากจำเจที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เรื่องการทำงานเท่านั้น แต่การใช้ชีวิตก็หมดแพชชั่นไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งความรู้สึกแปลกใหม่ หรือการหนีให้พ้นจากความจำเจนั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากว่าเขาไม่เลือกออกจาก Comfort Zone หรือสิ่งเดิมๆ ที่ทำอยู่ จนกระทั่งการตามหาฟิลม์หมายเลข 25 ที่จะเอามาใช้ในนิตยสารฉบับสุดท้าย
ความกล้าคือก้าวสำคัญสู่ความสุข
เราจะเห็นได้ว่าตัวเอกอย่าง Mitty นั้นไม่กล้าที่จะทำอะไรอย่างที่อยากทำ ไม่ว่าจะเป็นการออกไปท่องเที่ยว หรือการพูดคุยกับสาวที่รู้สึกชอบ เขานั้นเลยได้แต่ใช้ชีวิตอยู่กับภาพความฝันและจินตนาการที่เกิดขึ้นจากตัวเอง เพื่อสร้างความแฟนตาซีและสีสันผ่านทางความคิดโดยที่ไม่ได้ลงมือทำเอง แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจก้าวขึ้น Helicopter เพื่อหลุดจากชีวิตเดิม และกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ก็ทำให้เขาได้เปิดโลกใบใหม่ที่หลายคนจะต้องอิจฉา
เปิดหูเปิดตา ใส่ใจสิ่งรอบข้าง
คงไม่ใช่ทุกคนที่จะมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาแบบตัวเอกในเรื่อง แต่จริงๆ แล้วการพยายามเปิดหูเปิดตา หรือหาประสบการณ์ใหม่ๆ อาจไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องออกไปต่างประเทศก็ได้ เพียงแต่ในระหว่างที่เราใช้ชีวิตนั้น เราอาจจะต้องเปิดใจกับประสบการณ์การใหม่ๆ เพื่อสร้างความทรงจำที่ดีในชีวิต หรือหนีออกจากความจำเจได้บ้าง เช่น การตระเวนหาร้านอาหารในย่านอร่อย ลองกิจกรรมใหม่ๆ เป็นต้น ก็น่าจะช่วยให้เราเปิดโลกของตัวเองได้อยู่ไม่น้อย
จุดหมาย อาจไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง
หากใครที่ได้รับชมหนังเรื่องนี้ก็น่าจะรู้บทสรุปกันอยู่แล้วว่าปลายทางของสิ่งที่ตัวละครตามหานั้นมันอยู่ใกล้กับเขามากขนาดไหน ทำให้จุดหมายของเรื่องราวนั้นอาจไม่ได้สำคัญเท่าไร เมื่อเทียบกับประสบการณ์ของ Mitty เองที่ได้เรียนรู้ในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจใช้ชีวิตและดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัว ไปจนการได้พบปะผู้คนต่างๆ ที่ทำให้เรียนรู้ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร จนสุดท้ายสิ่งที่ตัวละครได้มา จึงไม่ได้มาจากปลายทางเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาเรียนรู้และเริ่มเปลี่ยนแปลงตลอดไปหลังจากนี้
ดื่มด่ำกับห้วงเวลาปัจจุบัน
อีกหนึ่งฉากที่ส่วนตัวชอบมาก ก็คือฉากที่ Mitty ได้พบกับ Sean และได้เฝ้าดูเสือดาวหิมะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ แม้ว่า Sean เองจะเป็นช่างภาพมือฉมัง แต่เขากลับเลือกที่จะดูมันต่อไปอย่างเงียบๆ เพราะต้องการใช้เวลาของปัจจุบันให้คุ้มค่า ในการดื่มด่ำกับบรรยากาศทั้งสิ่งที่เห็น สิ่งที่รู้สึก มากกว่าที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านี้ลงไปในภาพ เพื่อให้ช่วงเวลาในตอนนี้คือความสุขจริงๆ ที่เกิดขึ้นและได้รับเลย ไม่ต้องอะไรจากในอนาคต (แต่ทุกวันนี้ก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็ชอบเก็บเกี่ยวด้วยภาพมากกว่า เพื่อเอาไว้เที่ยวทิพย์ในอนาคตได้อีก)
ชีวิตมีไว้ใช้ ไม่ได้เพื่อฝัน
สิ่งสำคัญที่สุดที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกกับคนดูก็คือ ความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องผิด หากเรายังมีแพชชั่นที่จะทำมันให้เกิดขึ้นจริง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วความฝันก็จะกลายเป็นแค่ฝันกลางวันไม่ต่างอะไรกับชีวิตของ Mitty ในช่วงแรก ที่อยู่แต่กับความฝันเฟื่องที่ไม่มีวันเป็นจริง และกลายเป็นสถานที่ที่เอาไว้หนีออกจากความจริงมาโดยตลอด ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อมีชีวิตก็ต้องใช้ทำตามฝันที่อยากทำ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ และมีความสุขของชีวิตได้อย่างเต็มที่