แกะปัญหาของหนังสร้างจากเกมส์ ทำไมทำกี่ครั้งก็มักจะพังทุกที

หากพูดถึงบทของหนังดัดแปลงนั้น ก็มักจะมาจากไม่กี่แหล่ง อาทิ นิยาย การ์ตูน เกม และอื่นๆ เพราะบางทีคนทำหนังก็หมดมุข ไม่ก็เห็นว่าวัตถุดิบเหล่านี้นั้นมีฐานแฟนคลับที่เยอะอยู่แล้ว จนหากทำเป็นหนังก็จะมีผู้ติดตามได้ไม่ยาก แต่ทว่าบ่อยครั้งที่การดัดแปลงหนังจากวัตถุดิบเหล่านี้ ก็มักที่จะลงเอยด้วยหายนะเสมอ พร้อมทั้งเสียงสาปส่งจากแฟนๆ ต้นฉบับ

สำหรับการดัดแปลงหนังมาจากเกม ก็นับเป็นอีกหนึ่งการดัดแปลงที่มักจะพังบ่อยครั้งที่สุด ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้ไม่ว่าเกมจะโด่งดังขนาดไหน เมื่อถูกเอามาทำเป็นหนัง ก็มักที่จะล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านคำวิจารณ์หรือรายได้ก็ตาม จนทำให้เราเองก็พยายามที่จะมาหาจุดเชื่อมกันดูว่า จากที่มันเจ๊งมาโดยตลอดเนี่ย มันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่? ใครมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง ลองมาดูกันเลย

แคสมาไม่ตรงใจ ยังไงก็ไม่อิน

เรื่องการแคสนักแสดงอาจเป็นปัญหาดราม่ามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลงานเดิมมันมีคนชอบอยู่แล้ว อย่าง Little Mermaid เป็นตัวอย่างชั้นดี ที่ก่อให้เกิดดราม่าขั้นรุนแรงตามมา ซึ่งในวงการเกมก็คงมีปัญหาไม่แพ้กัน เมื่อแฟนๆ ไม่ได้เห็นตัวละครในแบบที่พวกเขาคุ้นเคย อย่าง Sonic ในช่วงแรกเอง ก็โดนสาปส่งในรูปลักษณ์ของ Sonic เป็นอย่างมากจนมีการปรับให้เหมือนเกมมากขึ้นตามมาจนประสบความสำเร็จ


ส่วนเกมอื่นๆ เองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะให้นักแสดงของพวกเขาผ่านในจุดที่แฟนๆ พอใจเสียก่อน อย่าง Alicia Vikander ที่รับบทของ Lara Croft ใน Tomb Raider แต่ในขณะเดียวกัน Tom Halland บท Nathan Drake ช่วงวัยรุ่น จาก Uncharted ก็นับว่าเป็นอะไรที่แฟนๆ ยี้ไม่น้อยตอนเปิดตัว เพราะคนยังแอบคิดว่า Mark Walberg ดูเข้ากับบทนี้กว่า ก็ได้เป็นบท Sally แทน ซึ่งจริงๆ คงต้องบอกว่าการจะหาแบบที่ลงตัวก็คงยากเพราะแต่ละคนก็มีธงในใจของตัวเอง

ตอนเล่นเป็นแบบนี้ แต่หนังดันไปทางไหน?

บ่อยครั้งที่หนังจากเกม เลือกที่จะหยิบมาแค่ชื่อหนัง แต่ไม่ได้เอาเนื้อหาจากเกมมาด้วยเลย กลุ่มตัวอย่างหนังเหล่านี้ก็ได้แก่ Far Cry ที่ดูฉีกออกจากเนื้อหาเกมแล้วใส่บทใหม่ไปแทนเฉย หรืออย่าง Hitman เองที่เกมจะเป็นแนวสายลับ ลอบเร้นในการฆ่าเป้าหมาย กว่าจะไปฆ่าใครได้ก็ต้องอาศัยการสังเกต การวางแผน และเข้าไปทำแบบเงียบๆ ค่อยออกมา แต่ในหนังกลับกลายเป็นแอคชั่นแบบบู๊ล้างผลาญ ที่เน้นดูเอามันส์ล้วนๆ เลย

แต่นั่นก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะหนังอย่าง Resident Evil ในฉบับของ Paul WS. Anderson ภาคแรกเอง แม้ว่าจะไม่ได้หยิบเนื้อหาจากหนังมาใช้ แต่เป็นเรื่องของทีมที่เข้าไปทำลาย Lab ข้างล่าง แต่ก็ทำออกมาได้สนุก มีจุดลุ้น มีกับดักสุดสยอง จนแฟนๆ ก็ตอบรับกับหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ก็อย่างที่หลายคนเห็นว่าภาคหลังๆ มันช่างออกทะเลไปไกลจนสุดท้ายแฟนๆ เกมเองก็รับไม่ไหวแล้วเหมือนกัน หรืออย่าง Monster Hunter ล่าสุดก็นับว่าไม่เหลือเค้าเดิมมากๆ

เกมเล่นเป็น 10 ชั่วโมง ย่อให้เหลือเวลาหนังที่สั้นเกิน

โดยปกติแล้วเกมส่วนมากเรามักใช้เวลากับมันเกินกว่า 10 ชั่วโมง ในการเดินทางไปกับมัน และค่อยๆ รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในนั้น แต่เมื่อถูกทำเป็นหนังแล้ว มันก็จะถูกย่อให้เหลือการเล่าแค่เพียง 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เลยทำให้รายละเอียดต่างๆ อาจจะถูกตัดทอนไปไม่เหลือ และหนังเองก็ต้องเลือกให้ดีว่า จะต้องเอาฉากไหนเข้ามาใส่เพื่อเอาใจแฟนๆ ในขณะเดียวกันมันก็ต้องต่อเนื่องและดูสนุกด้วย มันก็เลยน่าจะเป็นงานยากที่ท้าทายอีกอย่างของคนทำหนังเลย

ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยก็อย่าง Assassin’s Creed (2016) ที่ในเวอร์ชั่นเกม จะมีเรื่องราวที่ยาวมาก ทั้งภาคแรก หรือภาคสองที่เล่าถึง Ezio ที่ยาวแบบสุดๆ เลยทำให้หนังไม่รู้ว่าจะเอาช่วงไหนมา เลยตัดสินใจยำมันเลยละกัน ซึ่งผลที่ได้ ก็ทำให้ทั้งแฟนเกมก็งงว่าจะเอายังไง ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟนเกมก็สับสนไปด้วยเพราะหนังมันจืดมากๆ ทำให้แนวทางการแก้ปัญหาของการดัดแปลงเกม Last of Us จึงตัดสินใจทำออกมาเป็นซีรีส์ให้มีความยาวเหมาะที่จะเล่าคงจะดีกว่า

มันเปลี่ยนจากผู้เล่น ให้กลายเป็นผู้ชมเฉยๆ ที่ไม่ลุ้นเท่า

ด้วยความที่ Platform มันต่างกัน มันจึงให้ประสบการณ์แก่ผู้ใช้ที่ต่างกันไปด้วย การดูหนังแม้จะมีความสนุกตื่นเต้น แต่เราก็ไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้ ต่างกับในเกมที่เราจะได้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่างแทนที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์เฉยๆ เลยทำให้ฟิลลิ่งในการเล่นเกมหลายครั้งมันเต็มไปด้วยความระทึก อย่าง Hitman ก็กลัวภารกิจพลาด กลัวโดนจับได้ อย่าง Resident Evil เราต้องบีบคั้นกับการที่กระสุนจำกัด กับซอมบี้สุดสยองมากมาย 

แต่พอเป็นในหนังมันกลับไม่ได้สร้างความรู้สึกแบบนี้ให้กับเราได้สักเท่าไรนัก ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่ยากของคนทำหนังเหมือนกันว่าควรจะออกมายังไง คนดูถึงจะสนุกไปกับฉากที่พวกเขาเคยสนุกได้จากในเกม ซึ่งที่ผ่านมาส่วนตัวก็มองว่าฉากเครื่องบินใน Uncharted ก็ทำออกมาได้สนุกอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะยังไม่ค่อยถูกใจส่วนอื่นๆ ของมันนักก็ตาม

ผู้กำกับและผู้สร้าง ที่สนใจแค่เอาชื่อเกมเป็นจุดขาย

สิ่งที่สยองที่สุดคือการที่ผู้กำกับหรือทีมสร้างนั้นไม่ได้ทำหนังที่มาจากเกมด้วยความรัก และความเคารพต้นฉบับ เสมือนว่าได้โจทย์ค่ายสั่งมา หรือรู้แค่ว่าน่าจะทำแล้วได้เงิน โดยผู้กำกับที่สายเกมจะยี้ที่สุดในช่วงหนึ่งก็คงหนีไม่พ้น Uwe Boll ที่เอาเกมมายำเป็นหนังให้แฟนเกมน้ำตาร่วงได้มากที่สุดแล้ว โดยตัวอย่างผลงานเขาก็ได้แก่ House of the Dead, Alone in the Dark, Bloodrayne. Far Cry ที่ยับแทบไม่มีชิ้นดี

แต่ก็มีหลายคนที่ทำหนังออกมาคารวะเกมต้นฉบับ จนแม้ว่าหนังจะไม่ได้ใจนักวิจารณ์แต่ก็ถูกใจแฟนๆ เหมือนกัน อย่างเช่น Mortal Kombat (2021) ก็โหดเลือดสาดได้ใจในฉากต่อสู่สุดเดือด หรือ The Angry Birds Movie เองที่สร้างสรรค์อออกมาให้เป็นตลกแบบผู้ใหญ่ได้ฮาแตก หรือแม้แต่ Tomb Raider (2018) แม้บทจะเปลี่ยน แต่ก็ยังเก็บส่วนสำคัญของหนังให้ตามความเป็นจริงได้ดี และมีฉากที่สนุกไม่น้อย