5 ข้อคิดที่เรียนรู้ได้จากโลก Multiverse ใน Everything Everywhere All at Once
Everything Everywhere All at Once (2022) น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องที่ถ้าคนถ้าไม่ชอบก็ต้องเกลียดกันไปเลย ไม่น่ามีรู้สึกเฉยๆ เพราะจริงๆ แล้วค่าย A24 เนี่ย มักเน้นทำหนังคุณภาพในแบบที่อาจจะดูยากหน่อยๆ ในแต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Midsommar, Hereditary, The Green Knight และอื่นๆ อีกมากมาย ที่หลายๆ ก็เข้าถึงง่ายบ้าง ยากบ้างคละๆ กันไป แต่สำหรับ Everything Everywhere all at once เนี่ย มาจากคู่หูผู้กำกับอย่าง Dan Kwan และ Daniel Scheinert
ที่เคยมีผลงานสุดบ้ามาก่อนอย่าง Swiss Army Men ที่บทมันห่ามและหลุดโลกกว่าเรื่องล่าสุดอีก เพราะมันเล่าถึง Hank ชายหนุ่มติดเกาะ ที่ต้องขี่ศพเพื่อนและใช้แรงตด เพื่อนำพาเขากลับบ้าน (บ้าดีไหมล่ะ 555+) จนมาถึงผลงานเรื่องนี้ ที่พาคนดูเข้าสู่โลก Multiverse แบบบ้าบอคอแตกพอๆ กัน และมีหลากหลายแนวมากๆ แต่จริงๆ แล้วแก่นแท้ของมันนั้นกลับพูดถึงหน่วยเล็กๆ อย่าง “ครอบครัว” และการเป็นเศษเสี้ยวของจักรวาลของคนเรา ที่ให้ข้อคิดได้มากเลย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น และเราจะเห็นเหมือนกันไหม ลองมาดูกัน
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง Everything Everywhere All at Once
การมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่ความไร้เดียงสา
หนังเปิดตัวละคร Waymond ร่างใน Universe ปกตินั้น ในลักษณะของผู้ตาม และเป็นช้างเท้าหลังให้กับ Evelyn มาโดยตลอด เพราะภรรยาของเขาจะเป็นผู้คอยชน ผู้คอยแก้ปัญหาทุกอย่างเป็นด่านหน้า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น เขาก็มักจะค่อยๆ แก้มันไปอย่างช้าๆ ต่างจาก Evelyn ที่ทำอะไรดูกระฉับกระเฉงกว่า แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความนิ่มและความเนิบนาบ ที่มองโลกในแง่ดีเสมอของ Waymond นั้น เขาก็ทำอะไรในหลายอย่าง ทั้งการจัดเตรียม การซัพพอร์ททุกอย่างให้กับ Evelyn อยู่เสมอ แม้กระทั่งเรื่องภาษี สุดท้ายเขาเองก็คือคนที่จัดการได้ ไม่ใช่ Evelyn
ใน Universe ที่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานกันนั้น ชีวิตของ Evelyn ไปได้ไกลในระดับซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังด้วยความสามารถของตัวเธอเอง เธอเริ่มคิดว่า ชีวิตตัวเองคงดีมากๆ ถ้าไม่ได้อยู่กับคนห่วยๆ อย่าง Waymond แต่กลายเป็นว่า Waymond ในจักรวาลนั้นกลับไม่ได้เป็น Loser เมื่อไม่มี Everlyn เขากลับอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ มีฐานะดี และประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะการมองโลกในแง่ดีของ Waymond นั้นไม่ใช่ความไร้เดียงสา หรือเป็นคนอ่อนต่อโลกที่แก้ปัญหาไม่ได้อย่างที่ Evelyn คิด กลับกันนั่นคือวิธีการแก้ปัญหาของ Waymond ที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้เรื่อยมา เพียงแต่เธอเองนั้นกลับไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อนเท่านั้นเอง
แม้จะมีจักรวาลอื่น แต่เราก็อยากอยู่กับคนที่เรารัก
หากโลกคู่ขนานมีจริงๆ เราอาจจะเจอตัวเองในหลายๆ เวอร์ชั่น ทั้งที่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ห่วยแตก ที่มีดีและแย่ปนๆ กันไป จริงอยู่ที่หลายครั้งเราก็ไม่พอใจชีวิตตัวเอง อยากมองหาชีวิตที่มันดีกว่าเดิม ซึ่ง Evelyn ก็คิดเช่นนั้น เมื่อเธอได้รู้ว่าจักรวาลที่เธออยู่นั้น คือจักรวาลที่เธอเองมีชีวิตล้มเหลวที่สุดแล้ว เธอได้ท่อง Multiverse จนได้เจอจักรวาลที่ชีวิตดีกว่าเดิมมากมาย จนเธออยากที่จะหนีจากสิ่งที่อยู่ไปใช้ชีวิตในนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเธอได้เห็นความสุข ความทุกข์ที่เกิดขึ้นใน Multiverse ของเธอแทบทั้งหมดแล้ว เธอก็ตระหนักได้ว่า สุดท้ายแล้วโลกที่เราจะมีความสุขที่สุดคือโลกที่เราได้อยู่กับคนรัก ทั้งลูกสาว สามี และพ่อของเธอเองนั่นแหละ แม้ว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ปัญหา’ เป็นส่วนนึงของชีวิต แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์อยู่แล้ว
ถ้าเราทำดีต่อกันได้ โลกก็คงสงบสุข
“The only thing I do know is that we have to be kind. Please, be kind. Especially when we don’t know what’s going on” นี่คือประโยคนี่ Waymond ได้พูดเอาไว้ ซึ่งแปลแบบง่ายๆ ว่า สิ่งเดียวที่ผมรู้คือพวกเราควรต้องมีความใจดี ได้โปรดเถอะ โดยเฉพาะเวลาที่พวกเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
นี่คือประโยคที่เรียบง่ายมากๆ แค่บอกให้คนใจดี แต่ความหมายของประโยคนี้กลับยิ่งใหญ่มากๆ เพราะความใจดี ความมีน้ำใจนั้น คือสิ่งที่ทำให้เกิดมิตรภาพ เกิดความสงบสุข และเป็นโลกที่น่าอยู่ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกคนยังดีต่อกัน และคิดถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสงครามก็คงจะไม่เกิด ความใจดีมีเมตตาจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากที่จะสร้างความสุขได้ในทุกๆ สเกลของชีวิตเลย
เราเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งเล็กๆ ของจักรวาลเท่านั้น
ไม่มีใครที่ไม่มีปัญหา แม้กระทั่งปัญหาที่มันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา มันก็อาจจะมีใครหลายคนในโลก หรือในจักรวาลที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่หนักยิ่งกว่าเราไปอีก เมื่อมีปัญหาแล้ว อย่าทำให้มันใหญ่จนกลายเป็นปัญหาระดับโลกแตก แต่ในทางกลับกัน เรากลับควรหยุดเพื่อคิดและใช้สติเพื่อแก้ปัญหากันไป เพราะเราเองก็เป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ของโลกใบนี้ ที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาไม่ต่างจากคนอื่นๆ
และในทุกจักรวาลนั้นเราย่อมมีคนที่เรารัก และคนที่รักเรา ที่พร้อมจะช่วยเราแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นไม่ว่ามันเลวร้ายสักแค่ไหน ตราบใดที่เรายังมีคนอื่นเคียงข้าง เราก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับมันคนเดียว และสุดท้ายเศษเสี้ยวของจักรวาลคนนี้ ก็จะผ่านมันไปได้ และยังคงเป็นส่วนหนึ่งให้จักรวาลนั้นยังเดินหน้าได้ต่อไป
ผิดพลาด ล้มเหลว ไม่สำเร็จ นี่แหละคนธรรมดา
ชีวิต Evelyn ที่เห็นในจักรวาลในหนังนั้น ถ้าตามที่หนังอธิบายนี่ก็คงเป็นจักรวาลที่เธอมีชีวิตล้มเหลวที่สุด นับตั้งแต่มาแต่งงานกับ Waymond จนพ่อของเธอต้องตัดขาดความสัมพันธ์ แถมมาอยู่ด้วยกันก็ปากกัดตีนถีบกับการทำร้านซักผ้าที่วุ่นวายทั้งวัน แล้วยังต้องมาปวดกบาลกับเรื่องภาษีไปอีก นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับสามีก็เหมือนจะเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด อีกทั้งความสัมพันธ์ของเธอกับลูกสาวก็ดูเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลา
แต่สุดท้ายเมื่อเธอได้มองย้อนกลับไป ความผิดพลาด ล้มเหลว ต่างๆ ที่ว่ามา ก็ล้วนเป็นส่วนนึงของชีวิตของ “คนธรรมดา” เพราะเมื่อมองย้อนไป มันก็มีความสุขต่างๆ อยู่ในเกือบทุกช่วงของอดีต แม้ว่ามันจะพาเธอมาถึงจุดนี้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ดังนั้นทั้งหมดนี้แหละคือเรื่องธรรมดาที่เราต้องผ่านมันไปในแต่ละวัน