Trainspotting (1994)
แก๊งเมาแหลก พันธุ์แหกกฏ
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่เป็นปรากฏการณ์ Pop Culture ของเด็กแนวยุค 90s กับการหาสัจธรรมชีวิตกับแก๊งวัยรุ่นขี้ยา
หมวดหมู่ : | Drama |
สัญชาติ : | British |
กำกับโดย : | Danny Boyle |
ความยาว : | 1 ชั่วโมง 33 นาที |
นักแสดงนำ : | Ewan McGregor, Ewen Bremner, Jonny Lee Miller |
คำคมจากภาพยนตร์
“One Thousand years from now. There’ll be no guys and no girls, just wankers.” “อีก 1000 ปีต่อจากนี้ จะไม่มีผู้ชายกับผู้หญิงอีกต่อไปแล้ว จะเหลือแต่พวกหัวขวดเท่านั้นแหละ”
เรื่องย่อ
เรนตัน ไอหนุ่มขี้ยาหนึ่งในสมาชิกของแก๊งกุ๊ยในสก็อตแลนด์ ร่วมกันกับ ซิกบอย สปัด และเบ็กบี ที่แต่ละคนล้วนแล้วแต่ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต และใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับเรื่องไร้สาระ และการเสพยา หลังจากทำผิดกฏหมายอยู่บ่อยครั้ง เรนตัน ก็ได้เสพยาเป็นครั้งสุดท้ายเข้าไป จนสติมาปัญญาเกิด คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขาเองจะเลิกเล่นยา จึงพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะเลิกการใช้ยาให้ได้ แล้วย้ายไปอยู่ที่ลอนดอน จนเริ่มหางานตั้งตัวได้ จนกระทั่งเจ้าเพื่อทั้งสามก็กลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง และทำให้ภารกิจชีวิตของเขามันยากยิ่งขึ้นไปอีก
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Trainspotting เป็นอีกหนังที่เรียกได้ว่ามีความเฉพาะกลุ่มอยู่ไม่น้อย กับการที่จะให้ดูชีวิตประจำวันของพวกขี้ยาให้ออกมาบันเทิง ให้ออกมาเป็นในเรื่องของสัจธรรมชีวิตได้ ถ้าใครมองเห็นในส่วนนี้ของหนังได้ ก็จะรักหนังเรื่องนี้ และบรรดาตัวละครที่อยู่ในเรื่องกันได้ไม่ยากเลยจริงๆ เพราะจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ก็เคยสร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกมาแล้ว แม้กระทั่งในไทยเอง ที่ก็โด่งดังอยู่ไม่น้อย แม้ว่าตัวหนังเองจะไม่ได้เข้าฉายในบ้านเราด้วยซ้ำ แต่กลับมีสินค้าเกี่ยวกับหนังมากมาย ซึ่งถ้าใครชอบหนังสไตล์เหมือนจะไร้สาระ มีความยียวน มีเรื่องยาเสพติด แต่เนื้อในลึกซึ้งในแบบ Snatch หรือ Fight Club นั้น ก็ขอเชิญเป็นส่วนนึงในวัฒนธรรมเมื่อ 20 กว่าปีก่อนใน Trainspotting กันได้เลย
- สายหนังแก๊งขี้ยาฮาเฮ
- สายหนังมองหาสัจธรรมชีวิต
- สายหนังเด็กแนว
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังที่ภายนอกมันดูบ้าบอ และไร้ซึ่งแก่นสารพอๆ กับแก๊งขี้ยาในเรื่องที่วันๆ แทบไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สมกับชื่อเรื่องว่า “Trainspotting” ที่หมายถึงพวกที่ว่างเสียจนเอาแต่นั่งมองรถไฟแล่นผ่านไปวันๆ โดยที่ไม่เกิดคุณค่าอะไรในชีวิต แต่เอาเข้าจริงแล้ว คอหนังเองต่างก็รู้อยู่แก่ใจกันทั้งนั้นว่าผู้กำกับคุณภาพอย่าง Danny Boyle คงไม่ทำอะไรไร้สาระเช่นนี้หรอก เพราะแม้ว่าเรื่องราวจะถูกฉาบด้วยพฤติกรรมห่ามๆ บ้าๆ บอๆ ของตัวละคร แต่ภายในหนังนั้นกลับเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับชีวิตมากมาย จนเหมือนจะกลายเป็นหนังปรัชญาไปแล้ว
ด้วยความสดใหม่และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง (แห่งการเล่นยา) ก็ทำให้หนังออกมามีสีสันฉูดฉาด สดใส เร่งเร้าให้คนดูตื่นเต้นอยู่กับหนังตลอดเวลา แม้ว่ามันจะไม่ใช่หนังแนวระทึกขวัญ หรือแนวแอคชั่นเลยก็ตาม ด้วยลูกเล่นต่างๆ ที่ผู้สร้างหนังต่างนำมาใช้ในการทำภาพอย่างมุมกล้องแปลกๆ และการตัดต่อแบบดูเร่งรีบ ก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยเพิ่มความจัดจ้านให้กับหนังได้มากขึ้น ทำให้แม้ว่าพล็อตของหนังจะดูธรรมดา แต่ด้วยลูกเล่นเหล่านี้ ก็อัดความน่าสนใจจนคนดูต้องนั่งติดเก้าอี้เพื่อรับรู้เรื่องราวชะตากรรมตัวละครแต่ละตัวต่อไปเรื่อยๆ กันได้เลย
แม้ว่าหนังจะใช้ดาราที่ยังไม่ค่อยดังในยุคนั้น แต่ทว่าแต่ละคนก็ต่างแสดงออกถึงคาแรคเตอร์ของตัวเองกันออกมาได้อย่างสนุก และน่าจดจำ กับวีรกรรมสุดแสบทั้งหลาย ที่ดูไร้สาระ แต่จริงๆ แล้ว มันกลับกลายเป็นการตั้งคำถามกับบรรดามมนุษย์ที่เริ่มจะใช้ชีวิตเป็นสูตรสำเร็จกันไปเกือบหมด ที่วันๆ ทำงาน หาคู่ครอง แต่งงาน มีลูก แล้วก็อยู่อย่างนั้นกันไป ตัวหนังมันก็เลยเสมือนเป็นการปลดแอกทุกสูตรของชีวิต ด้วยการทำสิ่งที่ลึกๆ แล้วใครๆ หลายคนก็อยากจะทำ แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบหลายๆ อย่างก็ทำให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ การได้รับชม Trainspotting จึงไม่ต่างอะไรจากการระบายความอัดอั้นจากชีวิตตามกฏระเบียบ จนมันกลายเป็นหนังเผยแพร่ Culture บ้าๆ ที่ไปได้ไกลในระดับโลก
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ไม่ใช่แค่ในจอเท่านั้นที่มีแต่เรื่องกาวๆ เพราะดาราสาวอย่าง Kelly Macdonald นางเอกของเรื่องนั้น ก็ได้ทำสิ่งที่ชวนอึ้ง เมื่อเธอชวนแม่และพี่ชายของเธอมาดูการถ่ายทำในฉากเลิฟซีนของเธอกับ Ewan McGregor ด้วย ซึ่งบทของเธอในเรื่องเป็นแค่เด็กสาวอายุ 14 เท่านั้น...
- Ewan Mcgregor เตรียมตัวเพื่อรับบทนี้โดยการ อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเสพยา รวมถึงไปพบปะกับบรรดาผู้ที่เข้าบำบัดจากการติดยาด้วย ที่นั่นเขาถูกสอนให้ทำเฮโรอีนด้วยช้อนกับผงกลูโคส นอกจากนี้เขายังเคยตัดสินใจที่จะฉีดเฮโรอีนเข้าตัวเพื่อให้เข้าใจบทบาทของตัวละครด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเปลี่ยนใจไม่ทำดีกว่า