The Whale (2023)

เหงา เท่า วาฬ

The Whale Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

เป็นงานที่น่าทึ่งมากตลอดทั้งเรื่องสำรวจปมความปวดร้าวในชีวิตตัวละครที่ยากจะเข้าใจ ดำดิ่งให้ Feel ที่เหงา เศร้าลึกซึ้งกินใจ แต่ที่ยอดเยี่ยมคือ Brendan Fraser นี่แหละตีบทแตกกระจาย คัมแบ็คได้โคตรเจ๋ง

หมวดหมู่ : Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Darren Aronofsky
ความยาว : 1 ชั่วโมง 57 นาที
นักแสดงนำ : Brendan Fraser, Sadie Sink, Hong Chau

คำคมจากภาพยนตร์

"Real life is painful, we can’t care about anyone."
"ชีวิตจริงคนเรามันน่าเจ็บปวด เราไม่สามารถห่วงใยใครได้ทั้งนั้น"

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ Charlie อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องสูญเสียคนรักไปกะทันหันและส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาอย่างหนัก ส่งผลให้เขาป่วยเป็นโรคอ้วนขั้นวิกฤต น้ำหนักตัวมากถึง 600 ปอนด์ วันหนึ่งเขาได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับ Ellie ลูกสาวของตัวเองที่ห่างเหินกันไป Charlie ตั้งใจจะดูแลลูกสาวตัวเองให้ดีที่สุดและคงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ก่อนที่เขาจะไม่เหลือเวลาอีกแล้ว

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Whale จัดเป็นหนังที่เหมาะกับแฟนหนังสายดราม่าเน้นรางวัล เพราะหนังเน้นขับเคลื่อนด้วยห้วงอารมณ์ความรู้สึกตัวละครที่เผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่มีวันเข้าใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็็พาไปสัมผัสประเด็นมากมายที่เฉลยออกมาทีละนิดเข้าอกเข้าใจตัวละคร มันออกแนวลึกซึ้งกินใจ ผสมผสานกับกลิ่นอายแบบจิตวิทยาที่กดทับจิตใจ ถ้าหากเป็นคนชอบงานของ ผู้กำกับ Darren Aronofsky ในแบบของ Mother หรือ Black Swan เรื่องนี้จะดูง่ายกว่า และเข้าถึงตัวละครได้มากกว่าจนอยากแนะนำ

  • สายหนังรางวัลชั้นดี
  • สายหนังนอกกระแส
  • สายหนังสำรวจจิตใจตัวละคร

รีวิว / สรุปเนื้อหา

จะว่าไปเหมือนหนังเรื่องนี้สร้างมาเพื่อ Brendan Fraser จริงๆ เพราะก่อนหน้านี้พระเอกหนุ่มฮอตมากความสามารถประสบปัญหาชีวิตหนักหน่วงหันหลังออกจากวงการบันเทิงไปแล้ว ชีวิตไม่รุ่งเหมือนเก่า มรสุมชีวิต ทั้งคดีโดนจับเพราะล่วงละเมิดทางเพศ ซึมเศร้า เรียกว่าคาแรกเตอร์ Charlie มีความคล้ายๆกันมากๆ ทำให้ให้เราได้เห็นประเด็นดราม่าที่คมคายเด็ดขาดจากผู้กำกับ Darren Aronofsky นักสร้างหนังที่ชอบเรื่องเล่นประเด็นอารมณ์ดราม่าที่เน้นกดทับความรู้สึกของผู้ชม บทหนังที่ดัดแปลงมาจากละครเวทีแต่ทำออกมาได้สลับซับซ้อน หนังค่อยๆพูดถึงผู้ชายที่มีความรู้สึกผิดมีตราบาปมีปมในใจติดค้างและไม่มีวันสลัดมันออกไปได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่รอวันตายและพยายามใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด ถ้าเข้าไปสำรวจหนังเรื่องนี้เราจะพบว่าตัวละครหลักอย่าง Charlie ป่วยเป็นโรคที่คนทั่วไปไม่มีวันเข้าใจแน่ๆ เขาเป็นโรคอ้วนเพราะกินหนักจนไม่มีทางรักษาได้ ถ้าหากเขาไม่หยุดมัน และแวดล้อมที่เขากำลังเผชิญไม่ได้มีกำลังใจที่ดีมากพอ ส่งผลต่อสภาพจิตใจ การแยกทางกับภรรยาเพราะค้นพบว่าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะเป็นพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้ และเมื่อรู้ตัวเขาห่วงใยอะไรใครไม่ได้กลับเขาเลยกลายเป็นคนที่ดูแย่ทิ้งลูกทิ้งเมีย สุดท้ายคนเราเมื่อถึงจุดเลวร้ายมักอยากโหยหาอดีตหรือคนใกล้ตัวอยากทำดีอยากแก้ตัวในช่วงสุดท้ายของชีวิต ที่เขาได้พบลูกสาวตัวเองอยากทำดีกับเธอให้มากที่สุด ทั้งที่รู้ว่าลูกก็ไม่ใยดีมองเขาว่าเป็นคนอ้วนที่เป็นภาระให้คนอื่นวันยังค่ำ แต่เขาก็พยายามช่วยเหลือเท่าที่จะทำให้ได้ในฐานะพ่อคนหนึ่งทำให้เราได้เห็นความจริงจากฝั่ง Charlie ได้เข้าอกเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้

ภาพของหนังสร้างสรรค์ออกมาดูธรรมดาแต่เนื้อหาหนักหน่วงรุนแรงทำร้ายจิตใจคนดู ไม่คิดว่าโลเคชั่นเดียวบ้าน 1 หลัง พาคนดูไปสัมผัสห้วงอารมณ์ความปวดร้าวได้มากแบบนี้ ซาวด์ประกอบ การวางเฟรมภาพ ให้ความรู้สึกของผู้ชายที่สิ้นหวังชีวิตไม่เหลืออะไร ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศที่เงียบสงบความหม่นหม่องของตัวละครที่ถาโถมใส่เข้ามาไม่มีหยุด พอดูไปเรื่อยรู้สึกว่า หนังสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของคนยุคนี้มีความอ่อนไหวมีความเปราะบางเหลือเกินพิสูจน์ได้จากคำพูดที่ฆ่ากันตายได้ บั่นทอนสภาพจิตใจตัวละคร พูดประชดประชันสุดท้ายจบด้วยการเลิกคบ คงไม่มีใครอยากฟังคำพูดแย่ๆไปตลอด เจอเรื่องดาร์คๆทุกวันไม่มีใครที่กลับมาใช้ชีวิตหรือรู้สึกดีๆได้แน่ๆ ภาพของ Charlie เหมือนคนที่เจอเรื่องแย่ๆเกินจะเยียวยาซะแล้ว ไม่แปลกที่เขาเลือกจะปกปิดปิดบังเรื่องแย่ๆเก็บไว้คนเดียว สิ่งที่หนังสอดแทรกลงไปคือเรื่องความเชื่อทางศาสนาที่เปิดพื้นที่ให้ได้ตั้งคำถามได้เยอะแยะมากมาย กลายเป็นว่าเราได้เห็นมุมมองของคนที่มาถกเถียงกันในเรื่องได้แบบมีสีสัน สัมผัสถึงแก่นแท้ว่าทำไมบางคนถึงพยายามนำประเด็นความเชื่อทางศาสนาเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นด้วยหรือคล้อยตามไปซึ่งตัวหนังก็ทำออกมาได้เป็นกลางมากๆ ไม่ได้ตัดสินหรือชี้นำอะไรพยายามเห็นอกเห็นใจด้วยกันก็เพียงพอแล้ว

หนังดึงพลังการแสดงของ Brendan Fraser fออกมาใกล้เคียงกับตัวตนจริงๆ เข้าถึงบทบาทดีเกินคาด คนดูเลยอินตามได้ไม่ยากเย็นอะไร คุณอาจจะเสียน้ำตาไปในเวลาเดียวกัน คุณพ่อผู้มีปมในใจยากที่ใครจะมาเข้าใจในตัวเขา พอได้เห็นแอ็คติ้งที่ดูสลับซับซ้อนเป็นคนอ้วนก็ใช้ชีวิตยากแล้ว ยังต้องปล่อยอินเนอร์ดราม่าที่หนักหน่วงเข้าไปอีก แต่ละฉากแต่ละไดอาล็อคหนังดำเนินเรื่องมาถึงจุดที่คลี่คลายทำให้ตัวละครนี้น่าเห็นใจมากๆ แถมการแสดงเรื่องนี้ทำให้เขาเพลียมากๆเพราะชุดที่ต้องสวมใส่อีก ต้องเล่นซีนดราม่าร้องไห้หนักหน่วงอีก มาเจอชุดที่หนักราวๆ 137 กิโลกรัม เข้าไปอีก เห็นแล้วเหนื่อยแทน ถ้าไม่มืออาชีพจริงๆคงทำไม่ได้แบบนี้แน่ๆ ด้านกลุ่มนักแสดงสมทบมาช่วยเติมเต็มซัพพอร์ทเรื่องราวด่ำดิ่งบาดลึกลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็น Ellie ลูกสาวที่ห่างเหินกับพ่อตัวเอง เด็กสาวที่ไม่ได้อยากกลับเข้ามาในชีวิตพ่อตัวเองอีก การแสดงของเธอดูดุดันแต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจคุณพ่อ Hong Chau พยาบาลสาวที่มาช่วยดูแลคนป่วยโรคอ้วนอยู่ตลอดเวลาเธออาจดูแรงแต่ก็จริงใจเพื่อทำให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตให้ดีที่สุด หรือจะเป็นTy Simpkins เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่วนเวียนแวะมาหา Charlie เป็นประจำ นักแสดงเหล่านี้พอเข้าฉากกับ Brendan ดูกลมกลืนไปด้วยกัน ทำให้ได้บทสรุปที่น่าประทับใจในตอนสุดท้าย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • บทหนังดัดแปลงมาจากละครเวทีของ Samuel D. Hunter
  • Darren Aronofsky ผู้กำกับเลือก Brendan Fraser มาแสดงนำเพราะกลับไปดูผลงานหนังนอกกระแสเรื่อง Journey to the End of the Night
  • หนังใข้เวลาถ่ายทำเสร็จภายใน 1 เดือน
  • James Corden พิธีกรชื่อดังเกือบได้เล่นบทนำ Charlie
  • Brendan Fraser ต้องใส่ชุดที่มีน้ำหนักประมาณ 60 ปอนด์ หรือ 137 กิโลกรัม
  • Brendan Fraser ต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมงเพื่อใส่ชุดทำให้ร่างกายดูอ้วนก่อนไปเข้าฉากทุกครั้ง
  • Brendan Fraser ได้รับเสียงปรบมือที่ดังสนั่นในเทศกาลหนัง Venice ยาวนานกว่า 6 นาที