Saving Private Ryan (1998)

ฝ่าสมรภูมินรก

Saving Private Ryan Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังสงครามสุดคลาสสิคแห่งยุค ที่นอกจากจะเล่าวีรกรรมที่กล้าหาญ ยังเสริมด้วยความรู้สึกนึกคิดในฐานะมนุษย์ออกมาได้อย่างสวยงาม และลงตัวสุดๆ

หมวดหมู่ : Drama War
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Steven Spielberg
ความยาว : 2 ชั่วโมง 49 นาที
นักแสดงนำ : Tom Hanks, Matt Damonm Tom Sizemore, Edward Burns, Paul Giamatti, Vin Diesel

คำคมจากภาพยนตร์

“I just know that every man I kill, the father away from home I feel.”
“ผมรู้แค่ว่าทุกๆ ชีวิตที่ผมฆ่าไป มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกห่างไกลจากบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ”

เรื่องย่อ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังการบุกหาดนอร์มองดี วันดีเดย์ 6 มิถุนายน 1944 ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ และลูกทีม ได้เข้ารับมอบหมายภารกิจพิเศษ ในการตามหาตัวพลทหาร เจมส์ ไรอัน กลับบ้าน เนื่องจาก ไรอัน เป็นลูกคนสุดท้องของบ้านหลังนึง ที่ต้องสูญเสียพี่ชายไปแล้วถึง 3 คนจากเหตุการณ์ยกพลขึ้นบก ทำให้กองทัพจึงอยากตอบแทนครอบครัวให้อย่างน้อยมีลูกชายสักคนให้ได้กลับบ้านไปอย่างปลอดภัย ทำให้เขาและทีมต้องเสี่ยงชีวิต เสี่ยงตายเพื่อให้ไปช่วย ไรอัน ท่ามกลางคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเขาและทีม ว่าชีวิตของไรอัน 1 ชีวิต มีคุณค่าพอกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเขาและลูกทีมหรือไม่

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Saving Private Ryan คือหนังที่คอหนังสงครามควรได้ดูสักครั้งในชีวิต แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาหลายปี ก็มีเพียงหนังสงครามน้อยเท่านั้นที่จะทำออกมาได้ทัดเทียมหรือดีกว่าหนังเรื่องนี้ได้ เพราะมันมีครบแทบทุกองค์ประกอบที่หนังสงครามควรจะมี และไม่ลืมที่จะใส่หัวใจให้คนดูสามารถอินไปกับหนังได้ง่ายๆ แม้ว่าจะเกิดไม่ทันยุคนั้นก็ตาม ตัวหนังยังการันตีมาด้วยรางวัลมากมาย จนน่าจะติด Top Chart ของหนังสงครามในหลายๆ สำนักอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งคนก็คงเรียกตัวเองเป็นคอหนังสงครามยังไม่ได้ หากยังไม่ได้ดู Saving Private Ryan สักครั้งจริงๆ ถ้าชอบหนังอย่าง Hacksaw Ridge หรือซีรี่ส์อย่าง Band of Brothers แล้ว นี่คือหนังสงครามที่มีหัวใจอีกเรื่องที่อยากให้ดูกัน

  • สายหนังสงคราม
  • สายหนังรางวัลคุณภาพดี
  • สายหนังคลาสสิคยุค 90

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ลำพังแค่ฉากเปิดยกพลบุกหาดนอร์มังดีของหนังนั้นก็มีพลังงานเพียงพอที่จะตรึงคนดูให้นั่งติดเก้าอี้ และลุ้นระทึกไปกับสงครามที่บรรดาหน่วยทหารจะต้องเผชิญแล้ว กับความอลังการสมจริง พร้อมทั้งงานภาพและเสียงชั้นดี ที่เหมือนโยนคนดูเข้าสู่สมรภูมิไปด้วย จนเป็นอีกหนึ่งฉากในตำนานของหนังสงครามในโลกภาพยนตร์ ที่น่าจดจำและถูกกล่าวถึงมาโดยตลอด อีกทั้งตัวผู้กำกับ สปีลเบิร์ก เองก็ไม่ลืมที่จะใส่หัวใจลงไปในหนัง สร้างปมขัดแย้งในจิตใจตัวละครผ่านการเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ และให้ตัวละครมีมิติจนคนดูผูกพัน และพร้อมเสียน้ำตาได้ทุกครั้งที่มีตัวละครจากไป

ด้วยความที่ สปีลเบิร์ก เองใช้การถ่ายทำหนังตามลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ทำให้บรรดาดารารับรู้เรื่องราวไปเรื่อยๆ และอินไปกับเหตุการณ์ได้มากขึ้น ทั้งมิตรภาพที่เกิดขึ้นในระหว่างทางที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงตายมาด้วยกัน ไปจนถึงการสูญเสียเพื่อนร่วมรบ จนทำให้ผลงานการแสดงของแต่ละคนก็ออกมาโดดเด่น สมจริง และชวนให้เชื่อในบทบาทของพวกเขาได้มากๆ จนรู้สึกเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้เป็นอย่างดี เพราะคนดูเองที่เปรียบเสมือนคนที่เดินทางไปกับหน่วยนี้มาตลอดก็จะเริ่มตั้งคำถามในเชิงเดียวกันว่า ไรอัน มันเป็นใคร เหตุใดถึงสำคัญขนาดต้องเอาชีวิตหลายๆ คนไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนๆ เดียวขนาดนี้ จนนำไปสู่ฉากขัดแย้งระหว่างทีม และบทสรุปของหนังที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง

แม้ Saving Private Ryan จะเป็นหนังประเภทสงคราม แต่ก็ทำออกมาได้ครบรสหลากหลายอารมณ์ ทั้งตื่นเต้น ลุ้นระทึก มีฉากแอคชั่นสุดมันส์ ที่ชวนลุ้นระทึกอยู่ตลอด เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะสูญเสียตัวละครคนไหนไปเมื่อไร ด้วยงานภาพและเสียงชั้นเยี่ยม (จนมีอยู่ช่วงนึงที่หนังมักถูกนำมาเปิดในร้านขายทีวีหรือเครื่องเสียงอยู่แทบจะทุกร้าน เพราะหนังเหมาะกับนำไปทดสอบภาพและเสียงได้ดีมากๆ) ส่วนการลำดับฉากลำดับเรื่องราวก็ดึงอารมณ์คนดูได้เป็นอย่างดี จนลากคนดูไปเสียน้ำตากันในช่วงท้ายมานักต่อนักแล้ว ในแง่ความโหดร้ายของสงคราม และความสวยงาม ความหวังของมนุษย์ก็มีอยู่ครบถ้วนในหนังเรื่องเดียวกัน จนทำให้ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงก็ออกมาครบรส และมีถ้วยรางวัลมาการันตีมากมาย แต่ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือการที่หนังดันชวดออสการ์สาขา Best Picture ในปีนั้นไปให้กับ Shakespeare in Love แทน

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังกวาดรางวัลมาได้มากมาย และมีรางวัลออสการ์มาประดับแบบแทบจะครบทุกด้าน ทั้งตัวหนังเอง ผู้กำกับ หรืองานด้านภาพและเสียงก็มาหมด จะขาดก็แค่ส่วนของดาราเท่านั้น
  • ผู้กำกับ Steven Spielberg เลือก Matt Damon มารับบท Ryan เพราะเขาต้องการนักแสดงที่ไม่เป็นที่รู้จักเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนคนอเมริกันทั่วๆ ไปได้ แต่เขาดันไม่รู้ว่าปีนั้น Matt Damon จะชนะรางวัลออสการ์จาก Good Will Hunting และกลายเป็นดาราดังในทันทีก่อนหนังจะออกฉายซะอีก
  • เป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดในประเทศอเมริกาประจำปี 1998 ทั้งๆ ที่ได้ Rate R