Vantage Point (2008)

เสี้ยววินาทีสังหาร

Vantage Point Poster
7/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังแอคชั่นลอบสังหาร 1 เหตุการณ์ หลายมุมมอง แต่ความจริงมีเพียงหนึ่ง แม้จะมีจุดไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่กลับสนุก ระทึกจนมองข้ามไปได้

หมวดหมู่ : Action Crime Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Pete Travis
ความยาว : 1 ชั่วโมง 30 นาที
นักแสดงนำ : Dennis Quaid, Forest Whitaker, Matthew Fox

คำคมจากภาพยนตร์

“There's a bomb in the podium!”
“มีระเบิดอยู่ในโพเดียม!!”

เรื่องย่อ

โทมัส บาร์นส และ เคนท์ เทย์เลอร์ เจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนราชการลับ 2 คนที่ได้รับมอบหมายมาให้คุ้มครอง ประธานาธิบดีเฮนรี่ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่ได้มาเข้าร่วมประชุมทางการเมืองในประเทศสเปน เพื่อผลักดันสนธิสัญญาระหว่างประเทศของการก่อการร้าย แต่เหตุการไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ประธานาธิบดีกลับโดนลอบยิงจากมือสังหารจากตึกในบริเวณนั้น อีกทั้งยังเกิดเหตุระเบิดตามมาบนเวทีปราศรัย จนสร้างความแตกตื่น และมีผู้คนได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสอง ต้องออกสืบหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Vantage Point อาจจะไม่ได้เป็นหนังแอคชั่นในแบบที่ทุกคนจะชอบมัน ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ “เหมือนจะ” แปลกใหม่ แต่ในความเป็นจริงก็มีหนังที่เล่าแบบนี้มากมายก่ายกองแล้ว แต่ทั้งนี้สำหรับคอหนังรุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ได้เห็นหนังแนวนี้มามากนัก ก็ยังน่าจะเหมาะ และสนุกไปกับหนังเรื่องนี้ได้อยู่โดยที่ไม่มีเรื่องไหนมาเปรียบเทียบกันเท่าไรนัก ด้วยลูกล่อลูกชน การสับขาหลอก ประกอบกับจังหวะเล่าเรื่องที่ระทึกสนุกก็น่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แต่หากคนที่เคยดู 11:14, Gone Girl หรือ ราโชมอนแล้ว อาจจะมองหนังเรื่องนี้ดรอปไปอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าชอบหนังแนว 1 เหตุการณ์หลายมุมมองแล้ว ก็ควรเก็บเข้าลิสท์อยู่เหมือนกัน

  • สายหนังแอคชั่นระทึกขวัญ
  • สายหนัง 1 เหตุการณ์หลายมุมมอง
  • สายหนังลอบสังหาร

รีวิว / สรุปเนื้อหา

แน่นอนว่าเมื่อฟังจากพล็อตเรื่องก็จะรู้สึกได้ว่ามันไม่มีอะไรใหม่กว่าหนังแอคชั่นทั่วๆ ไปสักเท่าไรนัก แต่จุดเด่นของหนังก็ไม่ใช่ตรงนั้น เพราะมันได้หยิบเอาการเล่าเรื่องแบบ “ราโชมอน” ของ อากิระ คุโรซาว่า ในปี 1950 มาใช้ในหนังแอคชั่นสืบหาคนร้ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งความหมายของแนว ราโชมอน ที่ว่านั้นก็คือการเล่าเรื่อง 1 เหตุการณ์ แต่ผ่านหลายมุมมอง ซึ่งสิ่งที่ในหนังเรื่องนี้ทำนั้น ก็คือมีพล็อตแค่ ประธานาธิบดีถูกสังหาร แล้วบรรดาสองคนที่คุ้มครองก็ตามจับคนร้ายเท่านั้นแหละ เพียงแต่ว่ามันเล่าผ่านหลากหลายมุมมองของตัวละครแทน ซึ่งแต่ละมุมก็จะทำให้เราได้รับข้อมูลที่ต่างกันออกไป

ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้ จุดอ่อนของมันเลยก็คือ การที่คนดูต้องรับรู้เรื่องราวซ้ำๆ ถ้าหากว่ามันไม่ได้มีข้อมูลใหม่มากพอ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็มีบางช่วงที่ทำเอาตกหลุมพรางนี้ระหว่างทางเช่นกัน เพราะช่วงกลางๆ เรื่องคนดูก็น่าจะเกิดอาการเบื่อกันอยู่ไม่น้อย เมื่อต้องเห็นฉากเดิมๆ มาอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ทั้งนี้มันก็ยังมีจุดเปลี่ยนแปลง หรือมุมใหม่ๆ ที่พลิกเรื่องราวมากพอที่จะทำให้เรานั้นสามารถตามมันต่อไปจนถึงในช่วงท้ายๆ ได้ จากลูกเล่นสับขาหลอก พลิกผันเรื่องไปมา หรือการทำลายข้อมูลเดิมจากที่เราได้เห็นจากตัวละครก่อนหน้า ก็ช่วยให้หนังมีเสน่ห์ที่น่าติดตามอยู่ไม่น้อยเลย

อีกทั้งก็ยังเป็นข้อดีที่หนังยังพอกลับลำทันในช่วงท้าย ที่เลิกเล่าฉากซ้ำ และนำคนดูไปสู่ข้อมูลใหม่จนไปสู่บทสรุปที่น่าสนใจ แม้ว่าจะมีอะไรไม่สมเหตุสมผลบ้าง เช่น ความหละหลวมในการคุ้มกันที่ดูเบาบางซะเหลือเกิน แต่ฉากแอคชั่นและการเร่งเครื่องของหนังในช่วงท้ายก็พอที่จะให้เรามองข้ามมันผ่านไปได้ไม่ยาก ทำให้โดยรวมแม้ว่าหนังจะสะดุดด้วยลีลาการเล่าเรื่องของตัวเอง ประกอบกับอาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่ หรือหวือหวาน่าสนใจนักหากเทียบกับหนังตระกูลนี้ในเรื่องอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมต่างๆ กับลูกล่อลูกชน และจังหวะสุดระทึกในช่วงท้ายๆ ก็ยังนับให้มันเป็นหนังแอคชั่นที่น่าสนใจในมุมการเล่าเรื่องอยู่ดี

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ตามบทดั้งเดิมแล้วจะมีตัวละครนักท่องเที่ยวรัสเซียชื่อว่า Lewicki แต่พอ Forest Whitaker มาแคสบทอื่นของหนัง ผู้กำกับ Pete Travis ก็ประทับใจจนเขียนบทนักท่องเที่ยวใหม่เป็นชาวอเมริกันให้กับเขาในทันที
  • ฉากระเบิดที่พลาซ่าถูกบันทึกเอาไว้ด้วยกล้อง 15 ตัว เพื่อนำมาแยกเป็นหลายๆ มุมมอง