The Matrix (1999)
เพาะพันธุ์มนุษย์เหนือโลก 2199
คะแนน
โกดังหนัง
หนังอภิมหาปรัชญาแอคชั่น-ไซไฟ สุดคลาสสิคที่ดีที่สุดตลอดกาลของใครหลายคน ที่สุดแห่ง Pop Iconic ที่โลกต้องจารึก
คำคมจากภาพยนตร์
"Ever have that feeling where you’re not sure if you’re awake or dreaming?"
"เคยรู้สึกไม่แน่ใจไหมว่าตอนนี้คุณอยู่ในสภาวะตื่นหรือกำลังฝันอยู่"
เรื่องย่อ
นีโอ ชายหนุ่มผู้มีอาชีพเป็นแฮคเกอร์ และใช้ชีวิตตามปกติ จนกระทั่งวันนึงเขาก็ได้พบว่าโลกที่เข้าอยู่นั้นเป็นเพียงโลกจำลองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบรรดาเครื่องจักรเท่านั้น ทำให้เขาจึงเลือกตื่นขี้นมาตามคำแนะนำของ มอเฟียส และทรินิตี้ ก่อนที่จะพบว่าในโลกความเป็นจริง มนุษย์ได้พ่ายแพ้ในสงครามระหว่างเครื่องจักรไปแล้ว และมนุษย์ส่วนมากก็กลายมาเป็นเพียงแหล่งพลังงานให้กับบรรดาเครื่องจักรเท่านั้น ส่งผลให้มนุษย์กลุ่มนึงที่หลุดพ้นออกมาแล้วนั้น ก็ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านและปลดแอกตัวเองจากสภาวะเช่นนี้ โดยมี นีโอ เป็นความหวังเดียวที่จะล้มล้างทุกอย่างได้ จากคำทำนายของแม่หมอพยากรณ์
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Matrix แล้ว คงเป็นหนังที่คอหนังไซไฟจ๋าๆ ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะหนังมีทั้งความล้ำในแบบวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับปรัชญาที่ชวนคนดูมาร่วมตีความ อีกทั้งการตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า โลกที่เราอยู่ในทุกวันนี้มันเป็นโลกจริงๆ หรือโลก The Matrix แบบในหนัง แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่คอหนังไซไฟสักเท่าไร ก็ยังสามารถสนุกไปกับหนังได้อยู่ ด้วยเนื้อเรื่องสุดมันส์ กับฉากแอคชั่นสุดเท่ต่างๆ ในเรื่อง ที่ทำออกมาได้โคตรล้ำไม่เหมือนใคร ทั้งต่อสู่ระยะประชิด หรือการใช้อาวุธปืนก็ดุเดือดทั้งหมด จนสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ควรดูสักครั้งในชีวิตอยู่ดี ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพลาดมันจริงๆ และหากใครชอบหนังไซไฟล้ำๆ อย่างพวก Inception, Cloud Atlas เหล่านี้แล้ว ยิ่งต้องมี The Matrix เอาไว้ในใจอีกเรื่อง
- สายหนังแอคชั่นไซไฟ
- สายหนังเนื้อหาล้ำๆ
- สายหนังไซไฟคลาสสิคยุค 90
รีวิว / สรุปเนื้อหา
สุดยอดภาพยนตร์ที่อาจเป็นหนึ่งในหนังไซไฟที่ดีที่สุดตลอดกาลในใจใครหลายๆ คน ด้วยความบันเทิงแปลกใหม่ เหนือชั้น ล้ำโลก เป็นที่น่าจดจำไปสู่เรื่องราวไซไฟสุดสลับซับซ้อน แฝงไปด้วยปรัชญาที่ให้คนดูได้ทำการแกะสลักถอดความหมายเรื่องราวของหนังกันมาจนถึงทุกวันนี้ เพียงแค่เรื่องราวใน 1 ภาค ก็ทำเอาคนดูพูดถึงกันมาได้ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาแล้ว ถึงแม้ว่าหลายคนที่ดู (รวมถึงตัวเอง) จะไม่เข้าใจเรื่องราวที่อยู่ใน The Matrix ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังสามารถสนุกไปกับมันได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ได้รู้สึกว่าความเข้าถึงยากของมันนั้นจะเป็นเหตุผลที่ลดคุณค่าของมันลง เพราะจริงๆ แล้วมันกลับเป็นเสน่ห์ที่ลึกลับชวนค้นหาอยู่ด้วยซ้ำ ที่ทำให้การดูทุกครั้งเราอาจได้ข้อมูลใหม่ๆ ที่ไม่เคยสังเกตในการดูรอบแรกๆ ให้เอาไปตีความต่อกันได้ด้วย
The Matrix เองไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ ที่กวาดไป 466 ล้านหรียญ จากทั่วโลกเท่านั้น ทุกส่วนประกอบในหนังยังกลายมาเป็นปรากฏการณ์ Pop Culture ข้ามยุคข้ามสมัย ทั้งการแต่งกายชุดดำ แว่นดำ อันเป็นเอกลักษณ์ของทีมตัวละครเอกในโลก The Matrix ไปจนถึงท่าหลบเอี้ยวตัวหลบกระสุนสุดคลาสสิค หรือท่าหยุดกระสุนต่างๆ จนกลายเป็นภาพจำของใครหลายคนเมื่อพูดถึงหนังเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งทีมดาราแต่ละคนก็เหมาะสมกับบทบาท จนทำให้จากที่เท่อยู่แล้วก็ยิ่งเท่ขึ้นอีก จนทำให้ทุกวันนี้เมื่อพูดถึง คีอานู รีฟส์ แล้ว หลายๆ คนก็ยังต้องจดจำเขาได้ในบท นีโอ จากเรื่องนี้กันได้อย่างแน่นอน
ด้วยความที่หนังตีตัวเองเป็นไซไฟจ๋าๆ ที่ต้องอาศัยทั้งการตีความในเรื่องปรัชญา สัญลักษณ์ อันสลับซับซ้อนหลายประการ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นกำแพงของคนที่เกลียดหนังแนวนี้สักเท่าไร เพราะตัวหนังเองก็ใส่ความแอคชั่นที่แปลกใหม่สุดมันส์ กับการผสานเอาศิลปะการต่อสู้โลกตะวันออกอย่างกังฟูมาใช้ในหนังได้อย่างเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว จนทำให้การต่อสู้ทั้งในระยะประชิดจึงออกมาดุดัน ฉับไว และสร้างความตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งการต่อสู้ด้วยอาวุธต่างๆ อย่างปืนแต่ละประเภท ก็มีลูกเล่นการขยับ ท่ายิงต่างๆ ที่สุดยอดไม่แพ้กัน ส่งผลให้แม้คนดูจะไม่อินกับหนังดูยาก แต่ก็ยังสามารถสนุกไปกับฉากแอคชั่น และจดจำสิ่งเหล่านี้ใน The Matrix ได้โดยเสมอมา จนไม่แปลกใจที่หนังจะปัง ดังเป็นพลุแตกข้ามยุคข้ามสมัย ติดตา ตรึงใจมายังทุกวันนี้
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- นักแสดงหลักทุกคนในเรื่องนี้ต่างต้องทำความเข้าใจ และสามารถอธิบายถึงเรื่องราวของ The Matrix ได้ โดยพวกเขาต้องทั้งศึกษาและอ่านตำราเป็นเล่มๆ เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้
- ในหนังเรื่องนี้ Keanu Reeve มีฉากพูดแค่เพียง 164 ประโยคเท่านั้น และไม่มีฉากไหนที่พูดต่อกันเกิน 5 ประโยคเลย นอกจากการกล่าวสปีชสุดท้ายในตอนจบ
- กว่าหนังจะได้เริ่มถ่ายทำจริงๆ นั้น บรรดาทีมงานและนักแสดงต่างต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจกับบทกว่า 4 เดือนเต็ม ในระหว่างนั้น Studio ก็กดดันผู้กำกับทั้งคู่มากๆ เพราะยังใหม่ในวงการ แต่เมื่อผู้บริหารได้เห็นฉากแรกสุดล้ำของหนัง ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ทำงานกันอย่างอิสระมากขึ้น