Rush Hour (1998)
คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด
คะแนน
โกดังหนัง
หนังตำรวจคู่หูต่างขั้ว สุดฮา อีกหนึ่งหนังแอคชั่นในตำนานที่คนยุค 90s จะต้องผ่านความมันส์ ความขำกันมาแล้ว
คำคมจากภาพยนตร์
“This is the LAPD. We're the most hated cops in all the free world. My own mama's ashamed of me. She tells everybody I'm a drug dealer.”
“นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ LA พวกเราคือตำรวจที่คนเกลียดมากที่สุดในโลกเสรีนี้
แม้แต่แม่ของฉันยังรู้สึกอับอายเลย เธอบอกกับทุกคนว่า ฉันเป็นคนขายยาด้วยซ้ำ”
เรื่องย่อ
ภารกิจของคู่หูสองสัญชาติ ระหว่าง สารวัตรสืบสวนลี จากหน่วยสืบสวนฮ่องกง และนักสิบเจมส์ คาร์เตอร์ จากหน่วย FBI ที่ต้องมาร่วมมือกันอย่างไม่เต็มในนักในตอนเริ่ม แต่ด้วยภารกิจที่ต้องจับกุมวายร้ายและช่วยชีวิต ซู ยาง ลูกสาวกงสุลของจีนก่อนที่จะสายเกินไป ทำให้ทั้งคู่ต้องปรับสไตล์ตัวเองเพื่อร่วมมือกันทำงานนี้ให้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Rush Hour เหมาะมากกับคนที่ชอบหนังสไตล์ตำรวจคู่หูที่แบบไม่ได้เน้นเอามันส์อย่างเดียว แต่เน้นเอาฮาด้วย เพราะตัวหนังมีครบทุกสิ่งที่ต้องการมากๆ ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นความความสัมพันธ์ทั้งคู่ที่เข้ากันไปค่อยได้ด้วยความแตกต่างและสไตล์การทำงาน จนมาจับคู่กันได้ ซึ่งหนังก็สามารถใช้ประโยชน์จากเฉินหลงทั้งลีลาคิวบู๊ และมุขตลกประกอบการบู๊ของเขาได้เป็นอย่างดี พอผสานกับความฮาจากการต่อบทของ Chris Tucker ยิ่งตลกไปกันใหญ่ ทำให้ใครชอบหนังเฉินหลงในโลก Hollywood แบบ Shanghai Noon/Knight หรือ The Tuxedo แล้วต้องย้อนกลับไปดูตำนาน Rush Hour จริงๆ
- สายหนังแอคชั่นสุดฮา
- สายหนังตำรวจคู่หู
- สายหนังแอคชั่นเฉินหลง
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หากพูดถึงหนังแอคชั่นคู่หูคู่ฮาแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนที่โตมากับหนังในยุค 90s นั้นก็น่าจะมีเรื่อง Rush Hour แว้บเข้ามาในหัวอย่างแน่นอน เพราะมันคือความปังในการเอาซุปตาร์ชื่อดังของฮ่องกงอย่าง เฉินหลง ไปจับคู่กับดาราสายฮาของวงการ Hollywood อย่าง Chris Tucker ประกอบกับผู้กำกับสายบันเทิงในสเกลหนังที่กำลังพอดีมือ ก็เลยทำให้หนังออกมาสนุกแบบเต็มพิกัด และครบรสของหนังสไตล์ตำรวจคู่หูเป็นอย่างมาก ด้วยจังหวะหนังที่ลื่นไหล แบบ 1 ต่อไป 2 ต่อไป 3 ตามสเตปเรื่องราว ก็ทำให้หนังไม่มีช่วงน่าเบื่อสักเท่าไร
ส่วนนึงเพราะแค่ฉากยืนคุยกันธรรมดาก็มีเสน่ห์เหลือล้น จากสกิลการต่อปากต่อคำของ Chris Tucker (ที่ปกติก็เป็น Stand up Comedy อยู่แล้ว) ก็ไม่แปลกที่จะมีประโยคด้นสดแบบฮาๆ มันส์ๆ ไปด้วยตลอดทาง แล้วพอหมดคำจะพูดก็ต่อเติมเข้าไปด้วยฉากแอคชั่นสไตล์เฉินหลงโปะๆ กันเข้าไป มันเลยกลายเป็นเคมีตัวละครที่เข้ากันได้อย่างน่าสนใจของหนัง ที่สามารถทำให้คนดูเพลิดเพลินไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบในช่วงเวลาที่กำลังพอเหมาะพอดี 97 นาทีเท่านั้น และแทบไม่มีฉากใดที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อได้เลย เพราะแต่ละตัวละครต่างเสริมสีสันกันได้เป็นอย่างดี เมื่อคนหนึ่งแผ่ว อีกคนก็จะจัดการสถานการณ์นั้นให้เสมอ และพอจังหวะที่พีคทั้งคู่ก็เลยออกมาเป็นอะไรที่มันส์สุด และฮาได้สุดมากๆ
ส่งผลให้หนังประสบความสำเร็จได้อย่างเต็มที่เมื่อออกฉายๆ ทั้งๆ ที่ตอนแรก Studio อย่าง Disney ก็ไม่กล้าลงทุนให้กับนักแสดงฮ่องกงอย่างเฉินหลงด้วยงบที่เกิน 20 ล้านเหรียญ เพราะไม่คิดว่าจะปังได้ แต่ทาง New Line Cinema ที่เคยซื้อหนังเฉินหลงอย่าง Rumble in the Bronx มาฉายในอเมริกากลับเห็นโอกาสนี้และควักเงินถวายพานลงให้เป็นอย่างดี แล้วก็กวาดรายได้เป็นเรียบจนสร้างภาค 2 และ 3 ตามมาโกยรายได้กันไปอีก จนทำให้เราเห็นจริงๆ ว่า ด้วยความเป็นซุปตาร์ของเฉินหลง และลีลาการบู๊ปนตลกของเขานั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความสามารถความเป็นดาวของเขาก็ยังเจิดจรัสสมกับเป็นแอคชั่นสตาร์ระดับโลกได้จริงๆ ยิ่งพอเป็นหนังสไตล์ Action-Comedy สไตล์เขาอยู่แล้วด้วยก็ยิ่งปังมาก
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- นี่คือหนังเรื่องแรกของเฉินหลงในอเมริกา ที่เฉินหลงเองพูดเป็นภาษาอังกฤษโดยที่ไม่ต้องพากษ์เสียงทับ ในขณะที่เรื่องอื่นๆ ก่อนหน้าที่ผ่านมา หนังของเฉินหลงจะถูกพากษ์ทับเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะพูดภาษาไหนก็ตาม
- เฉินหลงเคยออกมาเล่าว่าฉากที่เขาพบกับ Chris Tucker ครั้งแรกในหนัง นี่ไม่ต่างอะไรกับตอนเจอเขาครั้งแรกในชีวิตจริงเลย เพราะ Chris เป็นคนที่พูดเร็วมาก จนเฉินหลงต้องไปบอกกับผู้จัดการเขาเองว่า เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่หมอนี่พูดออกมาเลย (5555+) และประโยคนี้ก็ถูกเอาไปใช้ในหนังด้วย