Harold & Kumar Go to the White Castle (2004)
ฮาโรลด์ & คูมาร์ คู่บ้าฮาป่วน
คะแนน
โกดังหนัง
หนังคู่หูสุดฮา กับภารกิจตะลุยโร้ดทริปหาร้านเบอร์เกอร์ในฝัน หนังโคตรตลกติดเรทอีกเรื่องที่คุณจะต้องหลงรัก
คำคมจากภาพยนตร์
“I gotta stay here and smoke this weed, otherwise I won’t get high.”
“ฉันจะอยู่ตรงนี้ และปุ๊นกัญชา ไม่อย่างงั้นฉันก็คงไม่ได้เมา”
เรื่องย่อ
ฮาโรลด์ และคูมาร์ ที่เป็นทั้งรูมเมทและเพื่อนซี้ต่างสัญชาติ ทั้งคู่ต่างหลงใหลในรสของกัญชาด้วยกัน คืนวันศุกร์คืนหนึ่งหลังจากที่ทั้งคู่พี้ยากันได้ที่แล้ว อยู่ๆ ก็เห็นโฆษณาถึงร้านเบอร์เกอร์แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า White Castle พวกเขาจึงตัดสินออกเดินทางเพื่อที่จะไปตามอาหารที่ฝันเอาไว้ แต่ระหว่างทางกลับต้องพบกับอุปสรรคและเรื่องราวมากมาย จนบางทีพวกเขาก็ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า พวกเขาจะไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้หรือไม่
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Harold & Kumar Go to White Castle ก็ยังคงเป็นหนังที่น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบการดูหนังตลกติดเรท เพราะหนังเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ฉากยาเสพติด ฉากเซ็กส์ ต่างๆ นานา ที่ทำออกมาได้คุ้มค่ากับเรท R ซะเหลือเกิน ซึ่งถ้าก้าวข้ามความตลกใสๆ มาได้ นี่คือหนังตลกอีกเรื่องที่อยากแนะนำ เพราะมันอุดมไปด้วยมุขระดับฮาก๊ากเยอะมาก ซึ่งคนที่ชอบหนังฮาแบบเสื่อมๆ สไตล์ Dude, Where’s my car? (ซึ่งมุขก็ถูกเอามาใช้อีกทีในเรื่องนี้ด้วย) หรือ Road Trip ก็น่าจะสนุกไปกับหนังเรื่องนี้กันได้ไม่ยาก
- สายหนังตลกไร้สาระ
- สายหนังตลกติดเรท
- สายหนังตลกคู่หู
รีวิว / สรุปเนื้อหา
Harold & Kumar เป็นอีกแฟรนไชส์หนังตลกที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดูได้เป็นอย่างมาก จากความบ้าแบบเต็มขั้น ทั้งจากตัวคาแรคเตอร์หลักที่ฉีกจากภาพหนังคู่หูเดิมๆ ที่เป็นอเมริกันจ๋าๆ ก็ใส่ความเป็นเอเชียเข้าไป จนทำให้หนังใส่ประเด็นหรือมุขเกี่ยวกับการเหยียดสีผิว และเชื้อชาติได้อย่างสนุกมากยิ่งขึ้น ในส่วนของการแสดงของ John Cho (ที่ตอนนั้นคนรู้จักเขาแค่ในฐานะตัวประกอบใน American Pie) กับ Kal Penn (ที่มีแต่หนังเล็กๆ และซีรี่ส์อยู่บ้าง) ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มความบ้ากันได้ดี และมีเคมีมีที่เข้ากันในฐานะเพื่อนสนิทเป็นอย่างมาก จนทำให้ความ Bromance ในเรื่อง ถูกถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี จนมีโอกาสได้เข้าชิง Best On-Screen Team ของ MTV Awards กันเลย
รวมถึงดารารับเชิญอื่นๆ ที่คาดไม่ถึง ก็ช่วยให้แต่ละฉากยกระดับความขำจนต้องยกนิ้วให้ ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจอมขโมยซีน อย่าง Neil Patrick Harris (ที่ตอนนั้นกำลังดังในบท Barney จาก How I met your mother) เข้ามาเล่นเป็นตัวเองของหนังยิ่งเป็นการตัดสินใจที่เฉียบ และสร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่างดีทุกครั้งที่ออกมา แม้ว่าตัวหนังจะดูตลกอย่างเต็มขั้น แต่สิ่งที่แฝงอยู่ในหนังอย่างการตามหาร้านเบอร์เกอร์ของตัวละคร ก็ดูสะท้อนไปถึงความเป็น American Dream ที่มีอิสระที่จะทำอะไรทุกอย่าง และทำตามความฝันของตัวเองได้แม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ก็ตาม จนเรียกได้ว่า มันเป็นอีกหนึ่งหนังที่มีความชาญฉลาดบนตัวละครโง่ๆ ที่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี
นับว่าผู้กำกับมีการพัฒนาฝีมือในการทำหนังตลกมากขึ้นกว่าผลงานก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหนังอย่าง Dude, Where’re my car? ที่แทบจะเป็นหนังที่โครงเรื่องเหมือนกันไปหมด ที่เล่าถึงคู่หูติดยาโง่ๆ กับการตามหาอะไรบางอย่าง แต่กับเรื่องก่อนหน้านั้นมุขออกจะทื่อๆ ไปเสียหน่อย แถมบทหนังก็หลุดโลกจนเกินไป ทำให้ Harold & Kumar จึงนับเป็นอีกก้าวในการแก้ไขจุดผิดพลาดต่างๆ ที่เคยโดนวิจารณ์เอาไว้ แต่ยังเก็บหัวใจสำคัญของหนังเดินทางผจญภัยของคู่หูเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนเลย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ด้วยความที่ร้าน White Castle นั้นมีอยู่จริง และต้องการขอบคุณหนังที่กล่าวถึงพวกเขาอย่างดีโดยไม่คิดค่าโฆษณา ทางร้านจึงตอบแทนด้วยออก ถ้วย Collection พิเศษ ลาย “Harold and Kumar” ในช่วงที่หนังออกฉายด้วย
- Neil Patrick Harris เล่นหนังเรื่องนี้ในบทตัวละครชื่อว่า Neil Patrick Harris แทนการใช้คำว่า “Himself” แบบหนังเรื่องอื่นๆ เพื่อแสดงออกว่าเขาเล่นเพื่อล้อเลียนตัวเอง ไม่ได้เล่นเป็นตัวเอง ซึ่งบทขโมยซีนสุดฮาในครั้งนี้ ก็ทำให้เขากลับมาปังอีกครั้งในซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง How I met your mother ในบทคาสซาโนว่าสุดเกรียน (ซึ่งตรงข้ามกับในชีวิตจริงของเขาเป็นเกย์)