Avengers: Endgame (2019)
อเวนเจอรส์ เผด็จศึก
คะแนน
โกดังหนัง
ปิดตำนานมหากาพย์สุดยิ่งใหญ่ของจักรวาลซุปเปอร์ฮีโร่
ที่แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็นับว่าคุ้มค่าการรอคอย ที่จบลงอย่างสวยงาม
คำคมจากภาพยนตร์
“I love you 3000.” “ฉันรักเธอ 3000”
เรื่องย่อ
หลังจากเหตุการณ์ที่ ธานอส ได้ดีดนิ้วจนประชากรในจักรวาลนั้นต่างสลายกลายเป็นผงกันไปครึ่งนึงตามที่เขาได้ประกาศเอาไว้ จนทำให้บรรดาเหล่าฮีโร่ที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่นั้น ต่างก็อยู่กันอย่างสิ้นหวังไปพร้อมกับการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ได้เห็นความหวังครั้งใหม่อีกครั้ง เมื่อค้นพบวิธีที่จะสามารถทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่นั่นก็หมายถึงการที่พวกต้องกลับไปเผชิญหน้ากับ ธานอสด้วย
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Avengers: Endgame นั้น แน่นอนว่าก็ต้องเหมาะกับคนที่ดู Avengers: Infinity Wars มาก่อนเพราะเป็นภาคต่อกันมาแบบโดยตรง แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ ด้วยความที่หนังมันพาเราไปสำรวจเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นแล้วในจักรวาลนี้จากเรื่องอื่นๆ ด้วย ทำให้คนที่จะอินได้นั้นก็คือคนที่ติดตามจักรวาลของมันมาโดยตลอดกว่า 10 ปี ที่รับรองว่ามีแฟนเซอร์วิสให้ได้กรี๊ดได้อินกันอย่างแน่นอน ซึ่งหากใครที่ไม่ได้ตามดูมาโดยตลอดรับรองว่าน่าจะมีงงกันบ้าง แนะนำเลยว่าภาคสุดท้ายของตำนานมหากาพย์นี้ เหมาะสำหรับแฟนๆ Marvel Cinenmatic ตัวจริงกันอย่างแน่นอน
- สายหนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่
- สายหนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์
- สายหนังภาคต่อ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หลังจากทิ้งให้แฟนๆ รอคอยกันถึงหนึ่งปีเต็มๆ Avengers: Endgame ก็กลับมาสานต่อเรื่องราวสุดท้ายให้สมบูรณ์กันต่อ การที่หนังจบอย่างค้างคาในภาคก่อนด้วยความสิ้นหวังของตัวละคร ก็ทำให้คนดูนั้นมีอาการลงแดงมากๆ และอยากที่จะดูภาคต่อไปในทันที ซึ่งในระหว่างนั้น ไม่ว่าทางค่าย Marvel จะเอาหนังจากค่ายอย่าง Ant-Man and the Wasp หรือ Captain Marvel คั่น ก็เรียกเอาสาวกเดนตายเข้าไปรับชมกันอยู่ดี เพราะหวังว่าจะมีอะไรเชื่อมโยง หรือข้อมูลเพิ่มเติมกันบ้าง ซึ่งจริงๆ ก็มีอยู่นิดหน่อยๆ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญของเนื้อหาอยู่ดี (อย่างการเปิดตัว Captain Marvel ที่ดูเป็นความหวัง และการใช้เรื่องมิติควอนตัมจาก Ant-Man)
ในช่วงแรกของหนังนั้น มีโทนดราม่าที่ค่อนข้างจัดเต็มมาก เพื่อเป็นการบิวท์ให้คนดูที่หายไป 1 ปีนั้น ได้กลับมามีความรู้สึกสิ้นหวัง หดหู่ ไปกับบรรดาตัวละครที่ต้องสูญเสียพวกพ้อง และคนสำคัญกันไปมากมายก่อนอีกครั้ง เมื่อปรับอารมณ์กันได้แล้ว หนังก็พาเราเร่งเครื่องเข้าเรื่องราวกันในทันที ว่าความหวังครั้งใหม่ของภารกิจนี้มันคืออะไร ซึ่งในส่วนนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่เซอร์ไพร์ซมากๆ เนื่องจากหนังนั้นมีการชวนเราไปรำลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของจักรวาล Marvel Cinematic กับฉากเก่าๆ ที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นสิ่งที่ทำให้แฟนหนังของค่ายได้ปลิ้มปริ่มกันอย่างเต็มที่มากๆ เพราะมันทำออกมาเพื่อแฟนเซอร์วิสคนกลุ่มนี้อย่างแท้จริง
ตลอด 3 ชั่วโมงของหนังจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ จนรู้สึกไม่อยากให้มันจบลงเลย ด้วยภารกิจของหนังที่ทำออกมาสนุก มีลูกเล่นให้เสริมเติมแต่งมากมายกับเรื่องของการย้อนเวลา อีกทั้งในแต่ละพาร์ทก็ยังสอดแทรกดราม่าเข้าไปได้อย่างน่าสนใจ จนสุดท้ายหนังก็เรียกได้ว่าดีได้เกือบครบหมดทุกประการ เสียดายก็แค่ในฉากไคลแม็กซ์นั้น ยังดูกระจายบทกันได้ไม่ดีเท่าไร ตัวเด่นก็เด่นเกิน ตัวประกอบก็เหมือนแค่เอาให้มีในฉากเท่านั้น ส่วนธานอสเองก็ดูอ่อนลง ซอฟลงไปอย่างเห็นได้ชัดอย่ากกับคนละตัวกับภาคก่อน เลยทำให้ความรู้สึกตัวบอสของหนังดูดรอปลงไปกว่าภาคก่อนมากๆ จนภาพรวมเราอาจจะไม่รักมันเท่าภาคก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำมาได้เกือบสมบูรณ์แลว้จริงๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Robery Downey Jr. คือนักแสดงคนเดียวที่ได้อ่านบททั้งหมดก่อนถ่ายทำ
- Evangeline Lilly กับ Paul Rudd คู่ดาราใน Ant-Man นั้น ต้องถ่ายทำภาคต่อของ Ant-Man and the Wasp ไปพร้อมๆ กับ Avengers: Endgame ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
- เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำรายได้มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่เปิดตัวจากการฉายในโรงภาพยนตร์ (แน่นอนสิ ภาคก่อนหน้าจบให้ลงแดงกันขนาดนั้น)