ถอดรหัสความสำเร็จ บุพเพสันนิวาส 2 หนังที่พาคนกลับมาโรงหนังได้มากที่สุด
ในสัปดาห์ก่อนนั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่โรงหนังคึกคักเป็นอย่างมาก เพราะมีหนังไทยอย่าง บุพเพสันนิวาส 2 เข้าฉาย และสร้างปรากฏการณ์ให้โรงภาพยนตร์กลับมาเต็มแทบทุกโรง และกวาดรายได้ไปถึง xxx ล้านบาทจากทั่วประเทศ และทำให้คนที่ไม่ได้เข้าโรงหนังมานาน ก็แห่กันมาเพื่อมาตามละครในดวงใจเรื่องนี้กันถึงในโรง เพราะในช่วงที่ละครเคยฉายในช่อง 3 ก็ทำคนติดแบบทั่วบ้านทั่วเมืองกันมาแล้ว
ซึ่งวันนี้ทางโกดังหนังก็เลยอยากมาชวนถอดรหัสความสำเร็จนี้กัน ว่าทำไมหนังอย่าง บุพเพสันนิวาส 2 ถึงกลายเป็นหนังมที่พาคนกลับมาเข้าโรงหนังได้มากที่สุดหลังจากช่วงโควิดที่ทำเอาโรงหนังซบเซา รวมถึงตลาดสตรีมมิ่งที่เข้ามายึดพื้นที่เวลาของคนดูมากขึ้น อีกทั้งหนังเองก็น่าจะเป็นตัวเต็งหนังไทยที่รายได้สูงที่สุดของปีไปได้แบบไม่ยาก ลองมาดูกันดีกว่าว่าเป็นเพราะอะไรกันบ้าง?
1. เพราะภาคแรกที่ปรากฏการณ์ ละครฮิตติดกันทั้งประเทศ
บุพเพสันนิวาส คือละครไทยที่ฉายครั้งแรกทางช่องสามเมื่อปี 2561 ที่สร้างมาจากนิยายของ รอมแพง ที่เล่าเรื่องของความรักอิงประวัตศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่ให้ตัวเอกสาวที่เป็นคนยุคสมัยปัจจุบันที่เชี่ยวชาญในเรื่องประวัติศาสตร์แต่ดันประสบอุบัติเหตุ เลยได้ย้อนกลับไปในสมัยนั้นในร่างของ แม่หญิงการะเกด และได้ไปใช้ชีวิตในสมัยนั้น พร้อมทั้งพบรักกับหมื่นสุนทรเทวา จนทำให้เกิดเรื่องราววายป่วงตามมา
หากใครจำกันได้ในช่วงนั้นกระแสของละครมาแรกมากๆ จนกระทั่ง Rating ดีดขึ้นไปถึง 2 หลัก ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ออกฉาย และมีคำว่า “ออเจ้า” ติดปากกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนไม่ว่าใครก็เอาไปใช้กัน พอถึงวันละครฉายทีไรทุกคนก็แทบจะรีบกลับบ้านไปเฝ้าหน้าจอ เพราะกลัวว่าวันถัดมาจะคุยกับคนอื่นเขาไม่รู้เรื่อง จึงไม่แปลกนักที่ในภาคแรกจะมีแฟนๆ ติดตามกันอย่างเหนียวแน่น และผ่านมา 4 ปี ทุกคนที่ได้ดูภาคแรกก็ยังหวังที่จะรู้เรื่องราวความรักของตัวเอกทั้งคู่ต่อ แม้ว่าจะเป็นคนละภพคนละชาติกันแล้วก็ตาม
2. การหยิบประวัติศาสตร์อีกยุค มาเล่าได้อย่างสนุกสนาน
สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คือหนังใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นฉากหลังได้อย่างสนุก เพราะตัวเอกของเรื่องนั้นรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอดีตอยู่แล้ว จึงเป็นสีสันให้กับละครภาคแรกได้อยู่ไม่น้อย ซึ่งในภาคที่ 2 นี้ เพื่อขยายจักรวาลให้ใหญ่ขึ้นก็เปลี่ยนจากสมัยอยุธยาเป็นช่วงรัตนโกสินตร์ตอนต้น แต่ก็ยังมีตัวละครใหม่อย่าง เมธัส ที่จะรับหน้าที่เป็นคนยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลาไปแทน
ซึ่งในช่วงรัตนโกสินตร์ตอนต้นนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่มีบุคคลในประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์สำคัญมากมายที่น่าจดจำ ทั้งการเริ่มติดต่อค้าขายการชาวต่างชาติ ที่เริ่มเข้ามามากขึ้น มีกวีเอกอย่างสุนทรภู่ นับเป็นช่วงเวลาที่มีเสน่ห์ และคนที่มาดูอาจจะคุ้นเค้ยกับการศึกษาประวัติศาสตร์ หรือเคยรับรู้ช่วงเวลานี้มาก่อน ก็ทำให้ประติดประต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก จนทำให้เป็นฉากหลังที่คนเชื่อมโยงไม่ยากจากความรู้ที่พอมีอยู่แล้ว ซึ่งในภาคก่อนก็ทำให้คนพากันแต่งชุดไทย หรือเที่ยวเมืองโบราณย้อนยุคเพราะสนใจในประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้นแล้วเช่นกัน
3. อีกงานที่ค่ายอารมณ์ดี GDH กุมบังเหียนทั้งสร้างและโปรโมท
แม้ตัวละครต้นฉบับจะเป็นการฉายในช่อง 3 แต่ในฉบับหนังทั้งทีก็ได้ค่ายใหญ่อารมณ์ดีชื่อดังในไทยอย่าง GDH มาเป็นทั้งผู้สร้าง โดยได้พี่ปิ๊ง อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ที่เคยมีหนังดังผ่านมืออย่าง แฟนฉัน และ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ มากำกับ ก็สามารถดึงความเป็นบุพเพสันนิวาวจากละครได้อย่าง 100% จนแฟนๆ ละครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้จะเป็นคนชาติ คนละยุค แต่ก็ดูสมูธทั้งตัวละคร และเรื่องราวที่เหมือนอยู่ในจักรวาลเดียวกันอย่างเนียนสนิท และรักษาหัวใจของความเป็นบุพเพสันนิวาสได้ครบทุกประการ
ซึ่งในแง่การโปรโมท ก็เล่นมาตั้งแต่การออกเหรียญ Destiny Coin เพื่อให้คนมาลงทุนกันแล้ว แถมพอโปสเตอร์แรกออกเห็นพี่โป๊ปใส่ชุดไทยแว่นดำ ทุกคนก็ต่างสงสัยกันว่าเรื่องราวมันจะออกมาเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะเดาเรื่องราวได้ยากเหลือเกิน จนกระทั่งเห็นตัวอย่างออกมาถึงได้คาดเดากันได้ อีกทั้งกระแสปากต่อปากในวันแรกๆ ของแฟนละครก็พาเอาทุกคนที่ดูละครต้องออกจากบ้านไปตามดูอยู่เหมือนกัน
4. สีสันจากดาราดัง ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนให้ติดตาม
ด้วยความที่ฉบับหนังมีเวลาเล่าเพียงจำกัดประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เลยทำให้อาจจะมีตัวละครได้ไม่มากนัก ถึงในยุคนั้นจะมีเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายก็หยิบมาใช้ได้แค่ไม่กี่คน แต่โชคดีที่ตัวหนังเองได้ดาราระดับแม่เหล็กมากมาย ทั้งตัวเอก อย่าง โป๊ป และ เบลล่า เองก็เพียงพอที่จะดึงดูดแฟนๆ บุพเพสันนิวาสภาคแรกให้เขาโรงกันได้อยู่แล้ว แต่ก็มีการดึงดาราวัยรุ่นอย่าง ไอซ์ พาริส และ นนกุล ชานน เข้ามาอีก สำหรับกลุ่มแฟนๆ ที่อายุน้อยๆ
นอกจากนี้บรรดาดาราที่มาสมทบสร้างสีสันอย่างคุณ กิ๊ก สุวัจนี, คุณปวีณ์นุช และ คุณบ๊อบบี้ ก็ล้วนแต่ออกมาขโมยซีนและสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างดี เพราะรับรองได้ว่ามีฮาทุกครั้งที่ได้เห็น 3 คนนี้ปรากฏตัวขึ้นในแต่ละฉาก ทำให้ดารามีส่วนมากๆ ที่ทำให้คนตามมาดูมากขึ้น
5. ครบรสดูง่าย ถูกใจสไตล์คนไทยสุดๆ
สุดท้ายแล้วในวันที่มีแต่เรื่องราวเครียดๆ ทั้งหุ้นตก กองทุนลง ประเทศทำสงครามกัน น้ำท่วม รถติด เศรษฐกิจไม่ดี มันก็คงไม่มีอะไรที่ผ่อนคลายได้เท่าการเข้าโรงหนังและดูหนังที่เบาสมองสบายๆ สักเรื่อง ซึ่ง บุพเพสันนิวาส 2 ก็ถือเป็นหนังที่เข้าข่ายนั้นพอดี เพราะด้วยการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายเสมือนยกขึ้นมาบนจอหนัง พร้อมทั้งโยนเนื้อหาแบบครบรส ทั้ง ตลก รัก แอคชั่น ยำกันมาให้กลมกล่อม พร้อมด้วยเสน่ห์ของตัวละครในแบบเดิมๆ ที่ดูแล้วรับรองได้ว่าผ่อนคลายจากวันเครียดๆ ได้อย่างแน่นอน ซึ่งจาก End Credit ที่เหมือนจะหยอดภาคต่อไว้แล้ว หากรายได้มาขนาดนี้ เราคงมีโอกาสได้ดูภาคต่อไปในโรงกันอีกแน่นอน