LoveAboutTime_00

6 เหตุผลทำไมใครๆ ก็รักหนังที่ชื่อ About Time

หากจะพูดถึงหนังฟีลกู้ดชั้นดีสักเรื่อง เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะพูดถึงชื่อ About Time มาในลิสท์ของตัวเองแน่ๆ ด้วยความที่หนังมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งความโรแมนติค ทั้งความสัมพันธ์ครอบครัว ที่กลั่นกรองออกมาได้ดูง่าย ย่อยง่าย แถมยังได้ข้อคิดต่างๆ ที่ตกผลึกออกมาได้อยู่เยอะ อีกทั้งในแง่ความบันเทิงของการหยิบเอาเรื่องของการย้อนเวลามาใช้ ก็ยิ่งทำให้หนังมีลูกเล่นที่น่าสนใจชวนติดตามมากขึ้นไปอีก แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปี หนังก็ยังอยู่ในใจมาโดยเสมอ

โดย About Time เป็นเรื่องราวของ ทิม เลค ชายหนุ่มแสนธรรมดา ที่ในวัย 21 ได้ค้นพบว่าตัวเองมีพันธุกรรมหนึ่ง ที่ผู้ชายในตระกูลนี้จะสามารถย้อนเวลาได้ โดยข้อจำกัดก็คือสามารถย้อนไปในการแก้ไขชีวิตตัวเองได้ แต่ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หรืออะไรได้ เขาเลยมีความตั้งใจจะเอาพลังที่ว่านี้ไปใช้ในการจีบสาวที่เป็นเรื่องยากสำหรับเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้พบกับ สาวสวยที่ชื่อ แมรี่ เขาได้ใช้พลังการย้อนเวลาวนกลับไปจนจีบเธอติด พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งต่างๆ ในชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องพบว่าพลังที่เขามีนั้น กลับส่งผลกระทบกับชีวิตเขามากกว่าที่คิด และในบางครั้งมันก็ไม่ได้ใช้แก้ได้ทุกปัญหาเสมอไป

เล่ามาขนาดนี้แล้ว #โกดังหนัง จึงอยากลองชวนมาดูกันดีกว่าว่าเหตุใด About Time ถึงกลายเป็นหนังที่ใครๆ ก็รัก แล้วลองมาบอกเรากันหน่อยว่า คุณรักหนังเรื่องนี้เพราะอะไร?

Richard Curtis ผู้กำกับสายฟีลกู้ดกับแนวที่เขาถนัดที่สุด

จะเรียกว่าเป็น บิดาแห่งวงการ Rom-Com ก็คงไม่ผิดนัก สำหรับ Richard Curtis ผู้ที่สร้างหนังรักในตำนานหลายเรื่องมากๆ ทั้งการเขียนบทหนังรักสุดคลาสสิคอย่าง Four Weddings and a Funeral, Notting Hill, Bridget Jones’s Diary และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงยังนั่งแท่นกำกับหนังรักหลากรสอย่าง Love Actually ที่หลายๆ คนก็ยังหยิบมาดูกันบ่อยครั้งในช่วงคริสมาสต์ด้วย

จนมาถึงหนังอย่าง About Time ที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเอง ก็ยังคงความเฉียบเอาไว้ได้ทั้งตัวบทเอง ที่ใส่กิมมิคการย้อนเวลาเข้ามาอย่างสร้างสรรค์ แต่เนื้อแท้และหัวใจสำคัญก็ยังคงอยู่ที่เรื่องความรักทั้งแบบหนุ่มสาวและครอบครัว รวมถึงยังรู้จุดขยี้แบบจัดหนักให้น้ำตาร่วง พร้อมทั้งดูจบด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต และได้ข้อคิดดีๆ ฝังหัวกลับไปด้วย นับเป็นอีกหนัง Masterpiece ในงานกำกับแนวนี้ของเขามากๆ

3 ดาราชั้นดี ที่เคมีแต่ละคนเข้ากันแบบสุดๆ

หนังทำให้ดาราอย่าง Domhnall Gleeson เล่นเป็นตัวแทนผู้ชายธรรมดาที่ดูมีเสน่ห์มากๆ แม้ว่าเขาจะดูเฉิ่มๆ เนิร์ดๆ ในช่วงแรก แต่กลับทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นได้เป็นอย่างดี และเหมาะกับบทนี้แบบสุดๆ ในด้านความรักกับสาวสวยอย่าง Rachel McAdams ก็เป็นคนที่ทำให้คนดูยิ้มตามเธอได้อยุ่ทุกครั้ง อีกทั้งยังมีความน่ารักแบบปรอทแตก ที่เคมีตอนทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ดูเป็นคู่รักที่ดูเข้ากันดี

ซึ่งไม่ได้มีแค่เพียงเคมีคู่รักเท่านั้น แต่เคมีของ Domhnall Gleeson กับ Bill Nighy นี่แหละ ที่มีคู่สำคัญ ที่ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูกในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับกินใจเหลือเกิน และการแสดงของทั้งสองนั้น ก็สื่อออกมาให้เรารู้สึกเช่นนั้น จนอดเสียน้ำตาไม่ได้ เพราะทั้งคู่ช่างดูเหมือนพ่อ ลูกกันจริงๆ เหลือเกิ๊น

กิมมิคการย้อนเวลา แต่เข้าใจแบบง่ายๆ เพราะไม่ใช่ไซไฟ

จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะใหม่นักกับการที่หยิบเอากิมมิคเรื่องการข้ามเวลามาใช้กับหนังรัก เพราะหนังอย่าง The Time Traveler’s Wife ก็เคยใช้มาแล้ว แถมยังมีดาราอย่าง Rachel McAdams เหมือนกันอีกด้วย เพียงแต่ว่าโทนมันกลับต่างกันมาก เพราะเรื่องที่ว่ามีมุมเศร้าๆ กับการพยายามให้ข้อมูลกับการย้อนเวลาอยู่ไม่น้อย แต่ในมุมของ About Time นั้น กลับมีความสดใสและเรียบง่ายกว่ามาก

เพราะ About Time นั้นแม้ว่าจะเล่นกับเรื่องของเวลา แต่ไม่ได้ไปลงดีเทลอะไรกับมันเลย นอกจากการที่ได้เห็นว่าตัวเอกย้อนเวลาไปกับอะไรบ้าง ไปพร้อมๆ กับกฏหลวมๆ ทำให้หลายๆ คนที่ปวดหัวกับทฤษฎีเวลาทั้งหลายก็สามารถดูเข้าใจง่าย และไม่ต้องไปนั่งคิดถึงความสมเหตุสมผลเลย ใช้เพียงแค่อารมณ์ในการรับรู้เรื่องราวล้วนๆ โดยที่มันไม่ได้มีอะไรขัดใจเลย

ไม่ได้มีแค่ความรักหนุ่มสาว แต่ยาวไปถึงความสัมพันธ์ครอบครัว

แม้ปกหนังหรือการโปรโมทจะไปในทางโรแมนติกจ๋าๆ รวมถึงเรื่องราวก็ยังเป็นของ ทิม ที่ใช้พลังการย้อนเวลาเพื่อ แมรี่ สาวสวยที่เขาแอบชอบ ซึ่งในพาร์ทความรักของทั้งคู่นั้นก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลย ทั้งความอบอุ่น ความฟินต่างๆ นานา

แต่ทีเด็ดของหนังจริงๆ กลับไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้น เพราะหนังได้พาเราไปสำรวจมุมมองครอบครัวได้เป็นอย่างดี อย่างความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูกในเรื่อง ที่แม้จะย้อนเวลาได้ทั้งคู่ แต่สุดท้ายชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป และมีวันจากลา ซึ่งในส่วนนี้หนังทำออกมาเสมือนเป็นหมัดน็อคขยี้ 10 แรงมือ ที่เก่งมาจากไหนก็น้ำตาร่วงไปด้วยกันทั้งนั้น นับเป็นหนังที่มีความสมดุลทั้งเรื่องความรักแบบคู่รัก และครอบครัวได้ดีจริงๆ

เพลงประกอบความหมายดี อย่าง How Long Will I Love You

หนังมีเพลงประกอบหลักอย่าง How Long will I Love You ของ Ellie Goulding ที่โด่งดังมากๆ และมีเนื้อหาดีๆ ว่าคนเราจะรักกัน จะอยู่ด้วยกันได้นานแค่ไหน ซึ่งเนื้อเพลงก็สื่อออกมาได้ดีมากๆ ว่า คนรักกันก็อยากจะอยู่ด้วยกันตลอดไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ดวงดาวยังอยู่บนฟ้า ฤดูกาลยังผันแปร หรือน้ำทะเลยังซัดเข้าหาด ก็ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีวันเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น

นี่ยังไม่รวมเพลงคลาสสิคอย่าง I Will Always Love You หรือเพลงดีๆ ในที่จัดเซต Soundtrack มาในเรื่องอีกมากมายอย่าง At the River, Lullaby, Mr. Brightside, All the Things She Said จนเรียกได้ว่า นอกจากดูหนังดีๆ แล้ว ยังได้ฟังเพลงเพราะๆ ที่เข้ากับหนังไปด้วยอย่างกลมกล่อมเลย

หนังที่เปลี่ยนความคิด และการใช้ชีวิตของคนดูไปตลอดกาล

สุดท้ายแล้ว About Time สำหรับหลายๆ คนมันไม่ใช่หนังบันเทิงที่ดูแล้วจบไป แต่สิ่งต่างๆ ที่สอดแทรกเข้ามาอยู่ในหนังนั้น ก็ค่อยๆ ซึมซํบเข้ามาในใจและในสมองคนดูอยู่ด้วยตลอดเรื่อง เพราะเมื่อดูจบ มันทำให้เราอยากวิ่งกลับไปกอดทุกคนที่เรารัก อยากใช้เวลากับพวกเขาให้มากที่สุด เหมือนที่ทิมใช้เวลาอยู่กับพ่อของเขา

ไปจนถึงอยากที่จะใช้ชีวิตให้คุ้มค่า หาความสุขกับชีวิตให้ได้ในทุกๆ วันไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เราก็จะทำทุกวันให้ดีที่สุด เสมือนว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต อย่างทิม ที่แม้ว่าจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่เขาก็ขอใช้ชีวิตเสมือนไม่มีพลังพิเศษนี้ดีกว่า เพื่อป้องกันการสูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตที่เราเลือกแล้วไปอีก