รู้จัก Damien Chazelle ผู้กำกับสายดนตรีที่มีหนังดีๆ เพียบ

หากจะพูดถึงผู้กำกับอีกคนในวงการที่มีคนสายดนตรีติดตามผลงานเขามาตลอดก็คงหนีไม้พ้นชื่อของ Damien Chazelle หรือชื่อเต็มๆ ว่า Damien Sayre Chazelle ผู้กำกับและมือเขียนบทที่คว้ารางวัลมาได้มากมาย จากหนังเปิดตัว 2 เรื่องแรกของเขาอย่าง Whiplash (2014) และ La la Land ในปี 2016 จนทำให้ผลงานที่ตามมาของเขาล้วนเป็นที่น่าจับตามองมาโดยตลอดว่าจะออกหนังเรื่องอะไรมาอีก และที่ผ่านมาก็ยังเรียกได้ว่ารักษาคุณภาพได้อย่างคงเว้นคงวาได้ดี

ซึ่งในสัปดาห์นี้ก็จะมีหนังใหม่ของเขาเข้ามาอีกเรื่องที่มีชื่อว่า Babylon – บาบิลอน ที่รวมดาราดังๆ ในวงการ เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Brad Pitt, Margot Robbie, Olivia Wilde และตัวหนังเองก็ยังย้อนยุคเซคฉากไปยังช่วงปี 1920s ที่เป็นยุคเปลี่ยนผ่านของ Hollywood พอดี ซึ่งดูจากงานโปรดักชั่นในตัวอย่างแล้วก็นับว่าน่าจะเข้ามือของเขาอยู่มากๆ แต่ก่อนที่จะไปดู Babylon กัน โกดังหนังเองอยากให้ทุกคนได้รู้จักกับผู้กำกับมากความสามารถคนนี้กันเสียก่อน จะได้เข้าใจได้ว่า ทำไมหนังของเขาถึงได้น่าสนใจเหลือเกิน

เด็กฟิลม์แห่งมหาวิทยาลัย Harvard

Damien นั้นเกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 1985 (ซึ่งตรงกับวันที่หนัง Babylon ฉายในไทยพอดี) เป็นลูกชายของศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย และเมื่อเติบโตมาก็เกิดความสนใจทั้งในศาสตร์การทำหนังและดนตรีควบคู่กันไป ทำในตอนที่เขาเรียนมัธยมที่ Princeton นั้น ก็ได้เล่นกลองในวง และได้ไปแข่งดนตรี Jazz ไปด้วย (ก็ไม่แปลกใจที่สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเป็น DNA ในหนังของเขา) แล้วต่อมาเขาก็ยังไปเรียนทำหนังที่มหาวิทยาลัย Havard และมีหนังเรื่องแรกอย่าง Guy and Madeline on a Park Bench (2009) ที่เล่าเรื่องความรักขมๆ ของนักดนตรีทรัมเปต แถมยังเป็นหนังขาวดำ จนไปคว้ารางวัลในงาน Tribeca Film Festival มาได้

บทหนังผีสุดสยอง ก็เคยเขียนมาก่อนแล้ว

หลังจากเรียนจบแล้วย้ายมาที่กรุง Los Angeles แล้ว Damien เองก็เริ่มต้นด้วยการทำงานเขียนบทก่อน โดยไม่น่าเชื่อว่าหนังที่เขาเขียนบทกลับมีหนังสยองขวัญอย่าง The Last Exorcism Part II (2013) อยู่ในนั้นด้วย ส่วนผลที่ออกมาก็คือหนังโดนด่ายับและได้คะแนนจาก imdb เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ในขณะที่หนังแนวดนตรีผสมความระทึก อย่าง Grand Piano (2013) ที่ได้ Elijah Wood และ John Cusack ก็ถือว่าดีขึ้นมาอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เลิกคิดที่จะเขียนบทให้คนอื่น แล้วมาทำหนังตัวเองแทน

ประสบการณ์ตีกลอง อันเลวร้ายจนมาสู่ Whiplash

ในตอนแรกมันก็คงจะยากสำหรับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ แถมหนังที่เขียนบทไปผลที่ออกมาก็ยังไม่ดีเท่าไร เขาเลยเริ่มต้นทำ Whiplash ขึ้นมาจากเป็นหนังสั้นก่อน ที่เล่าถึงนักตีกรองในวงแจ๊ส จากประสบการณ์ของตัวเอง ที่เขาเคยเล่าว่าเป็นช่วงเวลาสุดตึงเครียดที่ทรมานร่างชิบหายมากๆ ก่อนซ้อมก็กินอะไรไม่ลง แล้วหลังซ้อมเสร็จก็คือกลับมาหลับเป็นตาย แต่ก็ต้องทนซ้อมอยู่อย่างนั้น ซึ่งพอทำหนังด้วยอินเนอร์ประสบการณ์จริง ก็เลยทำให้ Whiplash ฉบับหนังสั้นชนะรางวัลในงาน Sundance Film Festival 2013 มาได้ และเป็นจับตา จนได้รับเงินทุนมาทำหนังฉบับเต็มในปี 2014 สุดเดือดแบบที่เราเห็นกัน

ผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้รางวัลจากหนัง Lalaland

ที่จริงแล้วเขานั้นเขียนบท La la Land ซึ่งเป็นหนัง Musical-Romantic (แบบขมๆ แหละ) มาเอาไว้ตั้งแต่ช่วงปี 2010 แล้ว แต่ว่ายังไม่มีนายทุนคนไหนกล้ารับ จนกระทั่งมีชื่อเสียงมาจาก Whiplash ก็เลยถือกำเนิด La La Land  แล้วได้ดารานำชั้นดีอย่าง Ryan Gosling และ Emma Stone จนได้งานระดับเนี้ยบชิ้นนี้ขึ้นมา และเดินหน้ากวาดรางวัลมามากมาย โดยแรงบันดาลใจของบทหนังเรื่องนี้ก็มาจากเมืองที่เขานั้นเติบโตมา และค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวอยู่ไม่น้อย แต่ไม่นึกว่ามันจะแมสเสียจนกวาดรางวัลมาเกือบทุกสำนัก จนทำให้เขานั้นเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมในตอนนั้นด้วย

 ฉีกไปทำหนังอวกาศ ก็ยังมีความสุนทรีได้

 ถ้า Damien ไม่ทำหนังเกี่ยวกับดนตรี และบทเพลง จะออกมาท่าไหน หนังอย่าง First Man นี่แหละ ที่เป็นตัวอย่างชัดๆ ว่า ต่อให้ไม่เป็นธีมเพลง เขาก็ยังเป็นผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมอยู่ เพราะในนหนังเรื่องนี้มันเล่าถึงชีวประวัติของฮีโร่อเมริกันที่ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก ซึ่งเขาก็หยิบเอาหลายแง่มุมออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเป็นมนุษย์ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเอกหรือคนรอบข้าง เพราะหนังยังพาไปสำรวจชีวิตครอบครัว รวมถึงภรรยาของ นีล เองที่ดูมีมิติอย่างน่าสนใจไม่ใช่แค่ตัวประกอบ แถมตัวงานก็ยังออกมาละเมียดละไม จนไม่นึกว่าหนังแนวชีวิประวัติจะมีสุนทรียภาพได้ดีขนาดนี้จริงๆ