![The Godfather_00](https://kodungmovie.com/wp-content/uploads/2022/02/TemplateKDN-OG-for-website.001-2.jpeg)
5 เหตุผลทำไมถึงต้องดู The Godfather ฉบับครบรอบ 50 ปีที่เอามาฉายใหม่
The Godfather นับเป็นอีกตำนานของโลกภาพยนตร์อีกเรื่อง ที่กาลเวลาทำอะไรมันแทบไม่ได้เลยจริงๆ แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมากว่า 50 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าคอหนังหลายๆ คนที่เกิดไม่ทัน ก็ยังหาหนังเรื่องนี้มาดูกันอยู่ เพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ข้ามเวลาของมัน ว่ามันดีขนาดนั้นจริงๆ หรอ ก่อนที่จะพบว่าตัวเองก็กลายเป็นแฟนหนังชุดนี้เพิ่มไปอีกคน จนปีนี้ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ยังไม่เคยดู The Godfather หรือเกิดไม่ทันที่จะดูมันในโรงภาพยนตร์ เพราะในโอกาสครบรอบ 50 ปีของหนัง มันก็ได้กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์กันอีกครั้ง ด้วยการ Remastered ออกมาเป็นระบบ 4K Ultra HD และผ่านความละเมียดละไมในการเลือกเฟรมที่มีคุณภาพดีที่สุดของภาพยนตร์มาใช้
โดย The Godfather เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอเมริกาช่วงปี 1945 ที่มีครอบครัวมาเฟียเชื้อสายอิตาลีตระกูลคอร์เลโอเน ที่พยายามสร้างฐานอำนาจขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ โดยมี ดอน วีโต คอร์เลโอเน เป็นเจ้าพ่อคนใหญ่ของบ้าน ภายใต้ฉายา The Godfather ซึ่งการดำรงตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเขาต้องเผชิญกับความท้าทายจากทุกด้าน รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวตัวเอง จนทำให้เขาต้องพยายามควบคุมอำนาจที่มีอยู่ในมือให้ได้
เอาเป็นว่าครบรอบ 50 ปีทั้งทีแบบนี้ The Godfather ก็นับเป็นหนังอีกเรื่องที่ทางโกดังหนังอยากจะแนะนำให้มีโอกาสได้ดูกันในโรงภาพยนตร์มากๆ และไม่อยากให้พลาดกันเลยจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าโอกาสแบบนี้จะมีอีกทีเมื่อไรแล้ว วันนี้เลยอยากมาเชียร์กันหน่อยว่า 5 เหตุผลทำไม The Godfather ถึงเป็นหนังที่อยากให้ดูกันจริงๆ ใครสนใจไปชมในโรงภาพยนตร์กันได้ 24 กุมภาพันธ์นี้
พล็อตเรื่องสุดเจ๋ง และอีกหลายซับพล็อตเพียบ
![The Godfather_01](https://kodungmovie.com/wp-content/uploads/2022/02/TemplateKDNAlbum_อัลบั้มด้านใน_Godfather.001-1024x1024.jpeg)
The Godfather คือหนังที่สร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของ มาริโอ พูโซ ที่ออกมาในช่วงปี 1969 ก่อนที่ผู้กำกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา นั้นจะมาร่วมมือกับพูโซ ในการเขียนบทภาพยนตร์นี้ขึ้นมา โดยตัวหนังวางบทและหมากการเล่าเรื่องได้ดีมากๆ จากการพยายามพาเราไปสำรวจครอบครัวมาเฟีย วิธีการทำงานอะไรต่างๆ ของพวกเขา ผ่านทางตัวละครมากมายในวนเวียนอยู่กับคนในตระกูล
ทำให้ตัวพล็อตหลักของหนังก็มีความน่าติดตามกับสิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญ อีกทั้งตัวละครอื่นๆ ในเรื่องอย่างบรรดาลูกๆ ของ ดอน คอร์เลโอเน ก็ดูเหมือนจะมีเส้นเรื่องของตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ งานแต่งลูกสาว, การพัฒนาของตัวละครลูกชายคนเล็ก ไมเคิล คอร์เลโอเน ที่มาเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเรื่องราว เรื่องของธุรกิจในครอบครัว และอีกมากมายที่ทำให้ตลอดความยาวกว่า 3 ชั่วโมงของหนังจึงเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่อเนื่องที่น่าติดตาม และเดินหน้าตลอดเวลาอย่างน่าสนใจ
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ช่วงปี 1945-1955
![](https://kodungmovie.com/wp-content/uploads/2022/02/TemplateKDNAlbum_อัลบั้มด้านใน_Godfather.002-1024x1024.jpeg)
หากเทียบกับหนังมาเฟียอีกเรื่องในตำนานอย่าง Goodfellas แล้ว Goodfellas อาจะถูกพูดถึงในแง่ที่มันสร้างมาจากเรื่องจริง มากกว่า The Godfather ที่เป็นเรื่องแต่งและมาจากนิยายของ มาริโอ พูโซ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องแต่งที่ทำการบ้านมาอย่างดี ผ่านการร่วมกันเขียนบทของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และมาริโอ พูโซ ที่แม้ว่าจะเป็นสร้างตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาจากจินตนาการ และฉากหลังต่างๆ ในช่วงปี 1945-1955 ล้วนออกแบบมาอย่างใส่ใจ สำหรับยุคที่เป็นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เพิ่งจะผ่านไปหมาดๆ
รวมถึงการพูดถึงผู้อพยพ อย่างตระกูลตัวเอก คอร์เลโอเน เองก็ตัวอย่างที่ดีของเรื่อง และพยายามเข้ามามีอำนาจในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง ที่มีวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป จนทำให้เราก็จะได้เห็นความแตกต่าง วิธีคิดอะไรต่างๆ ของคนในยุคนั้น ที่ออกแบบมาอย่างได้ละเมียดละไม เป็นธรรมชาติ จนไม่แปลกใจที่หนังจะได้รางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนั้นมาครอง
สำรวจชีวิตของมาเฟีย ภายใต้โลกสีเทาของเหล่าตัวละคร
![](https://kodungmovie.com/wp-content/uploads/2022/02/TemplateKDNAlbum_อัลบั้มด้านใน_Godfather.003-1024x1024.jpeg)
ความน่าสนใจอีกอย่างของหนังก็คือธีมของเรื่องในโลกของมาเฟียในหนังเรื่องนี้ มีความเด่นชัด และไม่ประนีประนอมต่อคนดูเลย คือหนังไม่ได้สนใจว่าความเป็นพระเอก หรือความเป็นตัวเอกจะต้องเป็นคนดี เพราะเมื่อเป็นตระกูลมาเฟีย ที่กว่าจะยิ่งใหญ่และมีบทบาทในสังคมขนาดนี้ ก็ย่อมต้องผ่านอะไรมามาก ทำให้เราจะได้เห็นทั้งการทำธุรกิจแบบไม่ถูกกฏหมาย ยาเสพติด การอุ้มฆ่า การข่มขู่ ที่ดูสมจริงดี
แต่ในขณะที่ดูมันก็ทำให้เราเห็นหลายๆ มุมและเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มจากการพยายามปูรากฐานของเรื่องราวให้แน่น จนแม้ว่าตัวละครจะออกไปทางเลว แต่เราก็พร้อมติดตามอยากรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับพวกเขาตลอด เพราะอย่างบทบาท The Godfather ของ ดอน เอง ที่แม้ว่าจะเป็นตัวละครโหดๆ ที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ (จนเกิดประโยคอมตะว่าเป็น ‘ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้’ ออกมา) แต่เขาก็มีความเป็นคนรักครอบครัว และตัดสินใจอะไรด้วยเหตุผล จนทำให้เราอดชื่นชมตัวละครนี้ไม่ได้จริงๆ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าพ่อมาเฟียสุดโหดก็ตาม
ทีมนักแสดงระดับพระกาฬ กับบทบาทที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต
![](https://kodungmovie.com/wp-content/uploads/2022/02/TemplateKDNAlbum_อัลบั้มด้านใน_Godfather.004-1024x1024.jpeg)
ลำพังแค่นักแสดงอย่าง Marlon Brando ก็นับว่าเป็นการแสดงแบบ Masterpiece ที่น่าจดจำไปแล้ว ในบทของ ดอน คอร์เลโอเน ที่กินขาดจนใครก็แทนไม่ได้แล้ว แม้ว่าจะมีดาราอย่าง Robert De Nero มารับบทนี้ในส่วนของ ดอน วัยหนุ่มได้เป็นอย่างดีแต่สุดท้ายทุกคนก็ลงความเห็นเดียวกันว่า ก็ยังไม่เท่าที่ Marlon Brando ทำเอาไว้อยู่ดี ด้วยความทรงพลังของการแสดง จนมีออร่าความเป็นเจ้าพ่อ ความเป็นมาเฟียแผ่ออกมาตลอดเวลา
นอกจากเขาแล้วตัวละครอื่นๆ ก็ยังทำได้ดีไม่แพ้กัน อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งที่ตัวบททำออกมาได้ดี ทำให้ตัวละครมีมิติ มีความเป็นสีเทา ทำอะไรดูมีเหตุผล โดยเฉพาะอย่ายิ่งกับ Al Pacino ในบทของ ไมเคิล คอร์เลโอเน ที่ค่อยๆ มีการพัฒนาตัวละครมาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ก่อนที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญที่สุดของตระกูลคอร์เลโอเนนี้ จนนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จได้มากจริงๆ
โอกาสดูหนังตำนานในโรง แบบที่ไม่ได้มีบ่อยเท่าไรนัก
![](https://kodungmovie.com/wp-content/uploads/2022/02/TemplateKDNAlbum_อัลบั้มด้านใน_Godfather.005-1024x1024.jpeg)
แม้ว่ายุคนี้เราจะเริ่มเห็นการเอาหนังเก่าๆ กลับมาฉายก็อยู่บ้าง อย่างที่ผ่านมาก็จะเห็น Harry Potter ฉบับครบรอบ 20 ปี เห็น The Lord of the Ring แบบแว้บๆ หรือหนังเซตหว่องเรื่องอื่นๆ ที่กลับมาฉายใหม่กันทั้งเซต ทำให้ใครที่พลาดโอกาสที่จะดูหนังดีๆ เหล่านี้ด้วยแพลทฟอร์มอย่างโรงภาพยนตร์ก็มีโอกาสไปตามเก็บกันได้ อย่าง The Godfather เอง ก็เป็นการเอากลับมาฉายใหม่ในโอกาสที่หนังมีอายุครบรอบ 50 ปี
ซึ่งบอกเลยว่าโอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยนัก ที่จะได้ดูหนังเมื่อ 50 ปีก่อนในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง และด้วยความอมตะของมันก็น่าจะทำให้ดูมันได้อย่างสนุกอยู่ และไม่เชยแต่อย่างใด แล้วถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว อย่างต่ำๆ ที่คิดว่าจะมีโอกาสได้ดูเลย ก็คงเป็นตอนครบรอบ 60 ปีนู่น หรือไม่ก็อาจจะต้องรอตอนครบรอบ 100 ปีกันไปเลย เลยรู้สึกว่าไหนๆ โอกาสก็มาขนาดนี้แล้ว อยากให้ไปดูกันจริงๆ แถมงาน Masterpiece ชิ้นนี้ยังถูก Remaster กันแบบระดับชัดแจ๋ว และผ่านการปรับปรุงเพื่อให้มั่นใจว่านี่คืองานคุณภาพที่พร้อมสู่สายตาผู้คนกันอีกครั้งจริงๆ