โปรเจ็ค The Mummy คือหนังที่ยูนิเวอร์แซลอยากนำกลับมาสร้างใหม่ให้มีความทันสมัยไม่ดูเก่าไม่ดูตกยุค แต่ปัญหาคือไม่มีโปรดิวเซอร์หนังและมือเขียนบทคนไหนกล้าที่จะมาทำ เพราะหลายๆคนมองว่ามันคือหนังอสูรกายเกรดบี ยากที่จะนำมาปั้นให้โด่งดังได้ แต่ Steven Sommer กลับหาญกล้าหยิบโปรเจ็คนี้มาทำ พร้อมกับไอเดียที่ล้ำสมัย เขาไม่กลัวว่าหนังจะล้มเหลวตรงกันข้าม
“ผมชอบหนัง Mummy ของบอริส คาร์ลอฟฟ์มาก ผมหลงใหลงานชิ้นนี้ ทุกคนจดจำได้ว่ามัมมี่คือสิ่งมีชีวิตที่มีผ้าผันหน้าไปทั่วตัวนั้นแหละ ผมอยากเปลี่ยนแปลงลบภาพจำซะใหม่”

Sommer เดินหน้าลุยทำโปรเจ็คนี้ เขาอยากทำให้หนังมีความแปลกใหม่กลายเป็นหนังแอ็คชั่นผจญภัยที่ตัวละครจะต้องเจอกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติและอสูรร้ายในอียิปต์ ค่ายหนังชอบแนวคิดเขาและเสนอชื่อพระเอกชื่อดังมากมายให้มาผู้กำกับเลือก ทั้ง Tom Cruise, Brad Pitt, Sylvester Stallone, Leonardo DiCaprio, Matthew McConaughey และ Ben Affleck, สุดหล่อระดับแถวหน้าในวงการทั้งนั้นเพื่อมารับบทนำ Rick O’Connell แต่ผู้กำกับไม่ได้ต้องการพระเอกหล่อโปรไฟล์ดีมาเล่นบทบู๊ เขาอยากทำให้ตัวละครหลักเป็นพระเอกที่มาจากหนังแนวทางอื่นเพื่อให้คนดูเชื่อว่าพระเอกนำเรื่องเป็นใครก็ได้ที่ดูมีภาพลักษณ์ใหม่แปลกตาน่าจดจำ และเขาก็มาพบกับ Brendan Fraser เขาคือนักแสดงตลกที่ไม่เคยมีผลงานหนังแอ็คชั่นมาก่อน นั้นคือทำให้เขาไปตามตัวแสดงรายนี้มารับบทนำ
.

“ผมโตมากับหนังอย่าง Robin Hood, Star Wars และก็ Raiders of the Lost Ark คือพูดง่ายๆ ว่าส่วนใหญ่ต้องเป็นหนังแนวผจญภัย ดูแล้วตื่นตา และก็เรียกเสียงฮาได้ด้วย”

สิ่งที่ผู้กำกับต้องการคือเขาอยากให้ภาพของหนัง นักแสดงนำแบกเรื่องราวโดยที่บรรยากาศไม่เครียดเกินไป อารมณ์หนังมีความเป็นคอเมดี้ผสมผสานกับความน่ากลัวกับเหตุการณ์แต่ละฉากที่จะพาไป การตัดสินใจในวันนั้น ทำให้ Mummy ภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เนื้อหาสนุก Fraser นำเรื่องได้อย่างที่ผู้กำกับต้องการ หนังมีทั้งความแอ็คชั่นน่ากลัว การผจญภัยความแฟนตาซี มุกตลกที่แทรกซึมเข้ามา จนกวาดรายได้ไปมากถึง 415 ล้านเหรียญสหรัฐ หักปากกาเซียนคนที่สบประมาทหนังแนวอสูรกาย รวมถึงการเลือกพระเอกที่หน้าตาไม่หล่อมาแสดง