รวมหนัง Pedro Pascal ดาราชายที่สายเนิร์ดยอมรับ

หลังจากภาคแรก ไดอาน่า หรือ Wonder Woman ก็ยังคอยช่วยเหลือผู้คนจากการเป็นฮีโร่อยู่ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก ยาวมาถึงช่วงปี 1984 แต่เธอเองก็ไม่เคยลืมคนรักของเธออย่าง สตีฟ เลย จนวันหนึ่งก็ได้มีของโบราณที่บันดาลทุกสิ่งให้เป็นดั่งใจได้ ถ้าแลกกับอะไรบางอย่าง ทำให้เธอได้คนรักกลับคืนมา โดยมีวายร้ายคนใหม่ที่หวังใช้เครื่องมือนี้ในทางที่ผิด เธอและสตีฟจึงต้องออกผจญภัยเพื่อช่วยโลกกันอีกครั้ง

ประกอบกับยุคที่ Netflix กำลังทำการตลาดเข้มๆ และมี Content ชั้นดีอย่าง Narcos ก็ทำให้เขาดังเปรี้ยงขึ้นมาแบบหยุดไม่อยู่ในทันที ด้วยความที่ทุกครั้งที่ออกสื่อก็ดูมีความเป็นกันเอง ทั้งการให้สัมภาษณ์ต่างๆ รวมถึงการถ่ายทอดหลายมุมของชีวิตผ่านทาง Social Media ก็ทำให้เขาเป็นอีกดาราที่ดูเข้าถึงง่าย จนแฟนๆ ส่วนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเนิร์ดๆ หรือแฟนคลับของหนังหรือเกมหลายอัน ก็มักดีใจเสมอที่ได้เขามารับบทตัวละครที่พวกเขาชื่นชอบ อย่าง The Last of Us ก็เป็นตัวอย่างชั้นดีเลย ที่แฟนๆ ต่างโอเคกันตั้งแต่ Casting ไปจนถึงตอนที่ฉายจริงก็ยังรู้สึกว่าเป็นบทที่เหมาะสมกับเขาจริงๆ ทำให้วันนี้เราจึงอยากที่จะพามาดูว่าผลงานเก่าๆ ของชายวัยเฉียด 50 แต่เป็นขวัญใจมหาชนคนนี้จะมีเรื่องอะไรบ้าง

1. Game of Thrones (2014) – Oberyn Martell

7 อาณาจักแห่งเวสเทอรอส ดำเนินไปด้วยความสงบสุขจากการยึดบัลลังก์ของกษัตริย์ โรเบิร์ต บาราเธียน ที่ชิงอำนาจมาจากตระกูลทาร์แกรเรียน ผู้โหดร้าย แต่เมื่อหัตถ์พระราชาคนเก่าดันตายไป ทำให้แต่โรเบิร์ต จึงเดินทางขึ้นไปเมืองทางเหนือที่เมืองวินเทอร์เฟล เพื่อขอให้ เน็ด สตาร์ค ลอร์ดคนสนิทของเขามาเป็นหัตถ์ราชาคนใหม่ของเขา จนทำให้ เน็ด และตระกูลสตาร์คทุกคนต้องเข้าสู่วังวนของเกมอย่างชิงอำนาจ ที่หากพลาดอาจทำให้ต้องตายกันทั้งตระกูลได้ 

อีกหนึ่งมหากาพย์แห่งซีรีส์ที่เคยสร้างมา ด้วยความยิ่งใหญ่จากนิยายจนนำมาสู่ซีรีส์แบบ Epic ที่ไม่หวงทุนสร้างกันเลย แต่ละซีซั่นเต็มไปด้วยความเข้มข้น การเมือง การหักหลังชิงอำนาจ จนฉากแอคชั่นก็กลายเป็นเรื่องรอง โดยในเรื่องนี้ Pedro รับบทเป็นเจ้าชาย Oberyn แห่ง Dorne ที่มีบุคลิกเป็นเหมือนเจ้าชายสำราญ ที่ฟาดเรียบหมดทั้งชายและหญิง รวมถึงลีลาการบู๊ประลองก็ยังแทบไม่เป็น 2 รองใคร เพราะไม่ว่าประลองกับใครคู่ต่อสู้ก็มักจบลงด้วยความตายไม่ก็พิการเสมอ แต่ด้วยวีรกรรมอันร้อนแรงของเขา ก็แน่นอนว่ามันต้องไปเหยียบตีนไว้หลายคน จนมีชะตากรรมแบบในซีรีส์ แต่แม้ว่าจะออกมาเพียง 7 ตอน แต่ก็เป็นตัวละครที่น่าจดจำและเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ซีรีส์ไปแล้ว

2. Narcos (2015-2017) – Javier Pena

ปี 1989 ในยุคที่การกวาดล้างยาเสพติดทวีความเข้มข้น เพราะยาเสพติดหลั่งไหลเข้ามาในอเมริกาเป็นจำนวนมาก จนตำรวจอเมริกันจึงอยากไปแก้ที่ต้นตอของยาเสพติดที่โคลัมเบีย เพราะมีพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่นามว่า ปาโบล เอสโกบาร์ ที่เป็นเสมือนเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศ จนใครที่แหยมเข้าไปเป็นต้องสิ้นชีพทุกราย เลยเกิดเป็นสงครามระหว่างตำรวจ กับแก๊งค้ายาทั้งหลายที่ต่างอยากชิงอำนาจและแย่งส่วนแบ่งตลาดกันอย่างเข้มข้น

ซีรีส์อีกเรื่องที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นจัดหนักจัดเต็มแทบทุกตอน ด้วยความที่หยิบเค้าโครงเรื่องจริงและตัวละครจริงมาเล่า แถมเรื่องราวในเรื่องก็ดูน่าติดตาม กับภารกิจของฝั่งตำรวจเอง หรือจะเป็นฝั่งการใช้ชีวิตของ ปาโบล เอสโกบาร์ ถึงเส้นทางที่ขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อยาเสพติดว่าต้องผ่านอะไรมาบ้าง โดยวีรกรรมแต่ละอย่างก็เรียกได้ว่าแสบสันต์ถึงใจเหลือเกิน โดย Pedro ในเรื่องรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ DEA เข้าไปปราบปรามแก๊งค้ายา ที่มีบทบาทไม่แพ้พ่อค้ายาในตำนาน หลายซีนเต็มไปด้วยความตึงเครียด การคิดแผนการเจรจา และฉากแอคชั่นต่างๆ เรียกได้ว่าทำมาตอบโจทย์ได้ดีสุดๆ เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่ต้องบอกว่า ดูเถอะเราขอร้องจริงๆ

3. Kingsman: The Golden Circle (2017) – Whiskey

หลังจาก เอ็กซี่ สายลับวัยรุ่นที่เข้ามาทำภารกิจจากภาคก่อนจนสำเร็จ จนกลายเป็นสายลับ Kingsman แบบเต็มตัว เขาต้องมาเจอกับภารกิจสุดอันตรายครั้งใหม่ กับวายร้ายระดับพระกาฬที่หวังจะทำลายองค์กรให้สิ้นซาก จนสุดท้ายเหลือสายลับรอดชีวิตมาได้เพียงไม่กี่คน ทำให้พวกเขาต้องไปขอความร่วมมือจากกลุ่มสายลับจากอเมริกาที่มีชื่อว่า Statesman พร้อมทั้งพบว่า แฮรี่ อาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันป้องกันหายนะในครั้งนี้

แม้ว่าหลายคนจะชอบภาคแรกมากกว่า แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่าภาคนี้ขยายสเกลและจัดเต็มความมันส์ได้เป็นอย่างดี ฉากแอคชั่นยังคงสร้างสรรค์และทำออกมาได้สนุก ถึงเส้นเรื่องจะยุ่บยั่บไปหน่อย แต่ก็เป็นความซับซ้อนที่เอนจอยอยูไม่น้อย รวมถึงทีมตัวร้ายก็ขนดารากันมาเพียบ และโหดได้ใจกันดีจริงๆ ส่วน Pedro ก็มาเป็นส่วนเสริมหนังได้เป็นอย่างดี เพราะสายลับรหัส Whiskey คนนี้ ก็นับเป็นอีกตัวแสบที่มีช่องขโมยซีนได้มากมาย ในด้านการแอคชั่นที่ใช้ทั้งแส้ทั้งปืน ก็ทำออกมาได้ครีเอทีฟมาก ฉากการต่อสู้เลยออกมาโคตรเท่มากๆ นับเป็นอีกบทบาทที่น่าจดจำเลย

4. The Equalizer 2 (2018) – Dave York

โรเบิร์ต แมคคอล อดีตมือสังหาร CIA ระดับพระกาฬที่วางมือไปแล้ว แต่ต้องกลับมาอีกครั้งจากการช่วยเหลือโสเภณีสาวจากภาคแรก จนมาภาคนี้เขาก็ไปทำอาชีพขับ Uber เพื่อรับงานช่วยเหลือคนที่ได้พบเจอ จนกระทั่งเขาได้พบว่ามีเพื่อนสนิทของเขาที่ถูกฆาตกรรมฆ่าปิดปากอย่างเหี้ยมโหด จนทำให้เขานั้นจึงต้องออกมาจากเงามืดอีกครั้ง เพื่อตามล่าล้างแค้นให้กับเพื่อนของเขา ก่อนที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวเลวร้ายที่ตามมา

ตัวหนังภาคนี้ค่อนข้างเพิ่มเรื่องราวเข้ามาพอสมควร ทำให้มีเส้นเรื่องแตกแขนง มีหลายคดีที่ต้องจัดการ และก็มีตัวร้ายให้ยำหลายคนเพิ่มจากภาคแรก แต่เนื้อเรื่องมันก็เลยเหมือนจะออกๆ ทะเลไปหน่อย ซึ่งมันก็แอบโยงกับอดีตของตัวละครให้เรารับรู้มากขึ้น อีกทั้งก็ยังพอจะมีส่วนพลิกไปมาให้ชวนหาคนร้ายกันนิดนึง เพิ่มความซับซ้อนเข้าไปหน่อย ในส่วนฉากแอคชั่นก็ยังทำได้ดีเหมือนในภาคแรก ด้วยความที่ลุงเดนเซลก็อายุอานามเยอะมากแล้ว (แต่ดูไม่ค่อยแก่จริงๆ นะ) เลยอาจจะไม่ถึงใจเท่าไรนัก ส่วนมากยังคงเน้นการวางกับดัก ลอบฆ่า หรือยิงๆ กันมากกว่าที่ปะทะกันแบบตรงๆ แต่พอออกแบบฉากมาดี ก็ถือว่าโอเคเลย ใครชอบแนวพระเอกเมพๆ ถือว่าเรื่องนี้ไม่ควรพลาด

5. The Mandalorian (2019-) – Mando

แมนโด้ นักรบเผ่าแมนดาลอเรียนที่มีวิถีแห่งเผ่าที่เคร่งครัดในการไม่เผยหน้าให้ใครเห็น โดยเขาเองนั้น ก็หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าค่าหัวและรับจ็อบไปเรื่อย จนกระทั่งเขาได้รับภารกิจใหม่ในการนำบางอย่างไปส่งให้ถึงที่หมาย ก่อนจะพบว่ามันคือสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายโยดาแต่เป็นทารก ที่ถูกตามล่าจากหลายฝ่าย ด้วยความผูกพันระหว่างเดินทาง รวมถึงมนุษยธรรมที่มีเลยตัดสินใจช่วยมันและพาหนีไปด้วย โดยมีเหล่านักล่าตามล่าพวกเขาอยู่ตลอด

อีกซีรีส์ที่แฟนๆ ยกให้เป็น Star Wars ที่ดีที่สุดในยุคหลังๆ เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากมันจะเล่าเรื่องได้อย่างเท่แล้ว ในช่วงแรกๆ มันก็ให้ฟิลเหมือนเล่นเกม ที่ตัวละครตามเก็บทั้งเควสหลัก เควสเสริมดูได้เพลินๆ ไปได้ในแต่ละตอน แถมด้วยความที่มันอยู่เป็นรอยต่อระหว่างหลังภาค 6 แต่ก่อนภาค 7 ทำให้มันจึงเพิ่มเนื้อหาเพื่อให้ช่วงเวลานี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และมีตัวละครในจักรวาลที่หลายคนคุ้นเคยโผล่มาให้หายคิดถึง และถึงแม้ว่าในเรื่องนี้ เราแทบจะไม่เห็นหน้า Pedro เลย (จะมีก็ไม่กี่ฉาก) แต่ออร่าความเท่ก็ยังแผ่ออกมาอยู่ดี

6. Wonder Woman 1984 (2020) – Maxwell Lord

หลังจากภาคแรก ไดอาน่า หรือ Wonder Woman ก็ยังคอยช่วยเหลือผู้คนจากการเป็นฮีโร่อยู่ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก ยาวมาถึงช่วงปี 1984 แต่เธอเองก็ไม่เคยลืมคนรักของเธออย่าง สตีฟ เลย จนวันหนึ่งก็ได้มีของโบราณที่บันดาลทุกสิ่งให้เป็นดั่งใจได้ ถ้าแลกกับอะไรบางอย่าง ทำให้เธอได้คนรักกลับคืนมา โดยมีวายร้ายคนใหม่ที่หวังใช้เครื่องมือนี้ในทางที่ผิด เธอและสตีฟจึงต้องออกผจญภัยเพื่อช่วยโลกกันอีกครั้ง

อีกภาคที่หลายคนด่ากันระงม พร้อมด้วยคะแนนหนังอันแสนน้อยนิด แต่ส่วนตัวเราก็ยังชอบมันมากกว่าภาคแรก เพราะรู้สึกว่าสเกลที่มันใหญ่ขึ้น พาร์ทความสัมพันธ์ตัวละครที่น่าสนใจ และสร้างความลำบากใจให้กับตัวละครในช่วงท้าย ซึ่งมันก็ทำให้เราเห็นพาร์ทความเป็นมนุษย์ของฮีโร่มากขึ้น ที่บางทีก็อยากจะตัดสินใจอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ประกอบกับวายร้ายที่โผล่มาให้ถึง 2 ตัว ที่มีฉากซัดกันแบบสนุกพอตัว ในส่วนของ Pedro เรื่องนี้ก็มาเป็นหนึ่งในวายร้าย ที่แม้ว่าอาจจะไม่น่าจดจำเท่าไร เพราะฉากไปซัดกันกับอีกตัวละครกลับโดดเด่นกว่า แต่เห็นเฮียแกมามาดนี้บ้างก็สนุกดี

7. The Unbearable Weight of Massive Talent (2022) – Javi Gutierrez

เรื่องราวของ Nicolas Cage ดาราฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ตกอับ แม้ว่าในอดีตจะโด่งดังทำเงินมากมาย ทั้ง Con Air และ Face/Off แต่เขากลับต้องมาเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่มีใครจ้างงาน จนต้องจำใจยอมรับข้อเสนอที่ไม่น่าไว้วางใจให้เดินทางไปร่วมงานวันเกิดของมหาเศรษฐีชาวสแปนิช แลกกับเงินหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเขาก็พบว่ามหาเศรษฐีคนนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของตัวเขาเอง แต่ทว่างานมันดันไม่ได้ง่ายเมื่อเขารู้ความจริงว่านายจ้างคนนี้ค้ายาบ้าที่ CIA ต้องการตัว ทำให้เขาซวยไปเต็มๆและต้องหาทางหนีเอาตัวรอดจากเรื่องบ้าๆนี่ไปให้ได้

สำหรับ The Unbearable Weight Of Massive Talent เป็นหนังคอมเมดี้ที่ทำมาเพื่อเอาใจสาวก Nicolas Cage โดยเฉพาะหยอกล้อแซวผลงานในอดีตของเขาแบบยับเยินแต่นำเสนอในมุมมองใหม่ๆที่ดูฮา มันแปลกฉีกกรอบไปจากแนวทางเดิมๆของป๋า Cage บนจะฮาก็ขยี้เอาจะร้องขำ บทจะซึ้งก็หนังเอาซะคาดเดาไม่ถูก คนดูหนังเรื่องนี้จะเป็นสายคอมเมดี้ ดูแบบไม่ต้องคิดเยอะคิดอะไรมาก เนื้อหาเรื่องราวไม่ได้ซับซ้อน เน้นเล่าเรื่องสนุกสนานปูตัวต้นอย่าง Cage โดยเฉพาะ แล้วพอผสานกับความตลกแดกของ Pedro แล้ว ก็ไม่นึกว่าเฮียแกจะทิ้งมาดเข้มๆ จากหนังเรื่องก่อนๆ มาวายป่วงได้ขนาดนี้เหมือนกัน