ScoopTheMatrix_00

7 เกร็ดสุดล้ำ จาก The Matrix หนังแอคชั่น ไซไฟ ปรัชญา ล้ำโลก

หากจะพูดถึงหนังแอคชั่น ไซไฟล้ำๆ สักเรื่องในยุค 90s แล้ว รับรองว่าต้องมี The Matrix ติดอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งมันไม่ใข่แค่หนังที่สร้างความแปลกใหม่ ในการเล่าเรื่องสุดล้ำ จากเรื่องของโลกจริง โลกเสมือน และเครื่องจักรกลเท่านั้น แต่เนื้อแท้ก็ยังยึดโยงไปถึงหลักปรัชญาต่างๆ ที่เอาไว้ให้คนได้ตีความกันอีกด้วย

มันเลยเป็นส่วนผสมของเทคโนโลยี และความเชื่อที่ทำออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัว จนไม่แปลกที่หนังจะยังเป็นที่พูดถึง และเป็นอีกหนึ่ง Pop Culture ที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านล่วงเลยมาหลายปีแล้วก็ตาม จนกระทั่งเร็วๆ นี้ที่เริ่มมีข่าวถึง The Matrix 4 กันออกมา ก็แน่นอนว่าเป็นที่สนใจจากแฟนๆ ได้ไม่น้อย วันนี้ทาง โกดังหนัง จึงเห็นว่า The Matrix เป็นหนังที่ควรค่าอย่างยิ่งที่จะหยิบมาพูดถึงกันอีกครั้งในแง่เบื้องหลังและเกร็ดที่น่าสนใจกัน

นักแสดงในเรื่องต้องศึกษาปรัชญาก่อนแสดง

ScoopTheMatrix_01

อย่างที่รู้กันว่า The Matrix เป็นหนังแอคชั่น ไซไฟ ที่แฝงไปด้วยปรัชญาชวนคิดมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อให้เหล่านักแสดงนำของเรื่องเข้าใจตัวบทได้อย่างแท้จริง ทางผู้กำกับจึงจัดเตรียมหนังสือปรัชญาต่างๆ ให้กับพวกเขาให้อ่านกันแบบนาวๆ ตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำ

โดยหนังสือที่ว่าก็มีถึง 3 เล่มอย่าง “Simulacra and Simulation”, “Out of Control” และ “Introducing Evolutionary Psychology” ซึ่งแต่ละเล่มก็จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลนี, จักรกล, หลักจิตวิทยา รวมถึงเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่ง Keanu Reeves บอกว่า เขาได้หนังสือสามเล่มนี้มาก่อนที่จะได้เริ่มอ่านบทอีก

บทสนทนากว่าครึ่งนึงของ Neo เป็นประโยคคำถาม

ใน The Matrix ภาคแรกนั้น บท นีโอ ของ Keanu Reeves มีแค่เพียง 164 ประโยคเท่านั้น และกว่า 94 ประโยคในนั้น ก็ยังเป็นประโยคคำถามซะอีก ซึ่งสาเหตุที่คำถามมันเยอะขนาดนี้ ก็ไม่ใช่อะไร เพราะ นีโอ เองก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของคนดู ที่งงไปกับทุกอย่างที่หนังโยนมาให้  การสนทนาแบบคำถามปลายเปิดเช่นนี้ ก็เพื่อให้หนังเดินหน้าด้วยการค่อยๆ ตอบคำถามให้คนดูนั่นเอง 

ทำให้บทพูดที่เป็นคำถามของ นีโอ จึงนับเป็น 57% ของหนัง ที่ออกมาประกอบกับหน้าตาชวนฉงนแบบที่คนดูรู้สึก จนกระทั่งในภาคต่อๆ มา ในส่วนของคำถามนี้ก็ลดลงไปจากปริศนาที่ค่อยๆ ถูกคลี่คลายออกมามากขึ้น

Will Smith, Sean Connery และ Russell Crowe ต่างปฏิเสธการรับบทในหนังเรื่องนี้

เป็นเรื่องปกติที่นักแสดงนั้นอาจมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการรับงาน ไม่ว่าจะเป็นการไปรับเล่นหนังห่วยๆ หรือบางครั้งก็ปฏิเสธบทดีๆ ไป อาจจะด้วยการอ่านบทแล้วไม่เห็นภาพ หรือเป็นคำแนะนำจาก Agency ของพวกเขาก็ตาม ซึ่งหนึ่งในความน่าผิดหวังที่สุด ก็คงเป็นหนัง The Matrix นี้ ที่หากว่ากันตรงๆ คนอ่านบท ก็คงจะร้องอิหยังวะกันอยู่ไม่น้อย กับเรื่องราวสุดสลับซับซ้อน และแปลกกว่าหนังตลาดในยุคนั้น

ทำให้ ดาราดังอย่าง Will Smith เองก็เลือกที่ปฏิเสธบทของ นีโอ ในหนังเรื่องนี้ลง แต่กลับไปเล่นหนังพังอย่าง Wild Wild West ที่คนด่ากันยับแทน ซึ่ง Will Smith ก็เคยออกมาเอ่ยปากเสียดาย ว่ามันดูเป็นบทที่เข้าใจยากมาก และเขาก็ดันไม่เห็นคุณค่าของมันตอนนั้น และเขาไม่ได้ฉลาดพอที่แสดงนำมันอยู่ดี ในส่วนของ Russell Crowe และ Sean Connery ก็เลือกปฏิเสธบทมอเฟียส จนบทนี้มาตกอยู่ในมือของดาราอย่าง Laurence Fishburne ที่ลงตัวมากๆ 

แรงบันดาลใจของ The Matrix มาจาก Comic ‘The Invisibles’

ก่อนหน้าที่ผู้กำกับพี่น้อง Wachowskis นั้นจะมาทำหนัง The Matrix พวกเขาเองก็อยู่ในวงการ Comic มาก่อนจากหลายๆ ค่าย ทำให้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากเนิร์ดคนอื่นๆ ที่โตมากับการ์ตูน และนิยายของ Tolkien จนหลัง The Matrix ออกมา พวกเขาก็ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจสูงมากๆ มาจาก Comic เรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า The Invisibles

ซึ่งหากพิจารณาถึงเรื่องราวและตัวละครแล้ว ก็นับว่าพี่น้องคู่นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้สร้างสรรค์ผลงานอย่าง Grant Morrison มาอยู่พอสมควร จนขนาดผู้เขียนเองก็ยังแปลกใจในความเหมือนขนาดนี้ แถม Morrison เองก็ยังรู้สึกว่าภาค Reloaded และ Revolution มันยังสานต่อเรื่องราวไปได้ไกลกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก

ตัวอักษร Digital แท้จริงคือสูตรการทำซูชิ

“Digital Green Rain” หรือตัวอักษรเขียวๆ ที่ไหลมาเป็นฝน ในเรื่อง The Matrix นั้น นับเป็นอีกหนึ่งการออกแบบที่เท่ และเป็นภาพจำมากๆ ซึ่งนี่ก็เป็นผลงานของ Production Designer ชื่อว่า Simon Whiteley ซึ่งหากใครสังเกตกันดีๆ ก็จบว่าในตัวเลข หรือตัวอักษรต่างๆ นั้น จะมีภาษาญี่ปุ่นแทรกเข้ามาอยู่เต็มไปหมด

ซึ่งเขาเองก็ได้ออกมาบอกถึงที่มาของตัวอักษรพวกนี้ว่าแท้จริงแล้ว เขาเอามาจากหนังสือสูตรทำอาหารญี่ปุ่นของภรรยาเขานั่นเอง ทำเอาพอรูปปุ้ปก็มองฉากเปิดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเลย 5555

ต้นทุนก้อนแรกของหนังหมดไปกับฉากเปิด

ฉากเปิดสุดอลังการตระการตาของตัวละคร ทรินิตี้ ใน The Matrix นั้นๆ จริงๆ แล้วคิดการผลาญเงินทุนทั้งหมดก้อนแรกไปถึง $10 ล้าน เพื่อทำให้นักลงทุนและผู้บริหารนั้นเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้กำกับทั้งสอง ที่ในตอนนั้นยังไม่มีผลงานในแบบที่เด่นชัดให้วางใจ พวกเขาเลยต้องตั้งใจสร้างสรรค์ฉากแรกด้วยเงินก้อนนี้ทั้งหมดเพื่อให้กลุ่มผู้บริหารของ Warner Bros ให้เงินก้อนนี้กับพวกเขา

ด้วยการออกแบบสุดเท่ ฉากแอคชั่นสุดหวือหวาในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ประกอบกับวิชวลอลังการ ก็ไม่แปลกนักที่สุดท้ายแล้ว หนังก้ได้อนุมัติทุนสร้างมาสูงถึง $63 ล้าน และแน่นอนว่าคุ้มค่ามากๆ เพื่อเทียบกับรายได้ในอเมริกาที่ $171 ล้าน และทั่วโลกที่ $466 ล้าน แล้วยังมีภาคต่อออกมาได้อีก 2 ภาคเลย

หนังใช้สีในการแบ่งแยก 3 โลกในเรื่อง

แม้ว่าหนังจะมีการตัดสลับโลกไปมา ทั้งในโลก The Matrix, โลกจริง หรือโลกเสมือนอื่นๆ แต่หนังเองก็มีวิธีอันชาญฉลาดที่ทำให้คนดูไม่งง ด้วยการปรับโทนสีของแต่ละฉากนั้นให้ต่างกันออกไป ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องแยกโลกได้แล้ว แต่ละสีก็ยังให้โทนที่เหมาะกับเนื้อเรื่องในฉากเหล่านั้นอีกด้วย

อย่างสีเขียวก็จะสื่อถึงโลก Matrix ที่ออกมาเป็นโทนเดียว และแสดงออกถึงการที่คนไม่มี Free Will ตามที่เห็นอย่างในหนัง แต่อยู่กันในลักษณะที่ถูกโปรแกรมมา ในขณะที่โลกจริงจะออกมาเป็นโทนสีฟ้า ไม่ว่าจะเป็นฉากหรือเครื่องแต่งกายก็จะออกมาเป็นโทนนี้หมด เพื่อให้รู้สึกอบอุ่นและดูเป็นโลกแห่งความจริง ส่วนสุดท้ายคือสีเหลืองที่จะเอาไว้ใช้ในโลกอื่นๆ อย่างฉากที่ นีโอ และมอเฟียสนั้นใช้ฝึกวิชากัน