The Hunger Games: Catching Fire (2013)
เกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟเออร์
คะแนน
โกดังหนัง
ที่สุดของหนังชุดฮังเกอร์เกม ที่เข้มข้นไปด้วยประเด็นการเมือง
และฉากแอคชั่นสุดมันส์ ลุ้นระทึกไปได้ทุกวินาทีกับตัวละครที่เรารัก
คำคมจากภาพยนตร์
“ํKatniss... remember who the real enemy is.” “แคทนิส… จำเอาไว้ว่าศัตรูที่แท้จริงของเธอคือใคร“
เรื่องย่อ
หลังจาก แคตนิส เอฟเวอร์ดีน และ พีต้า เมลลาร์ค 2 ตัวแทนจากเขตที่ 12 ที่รอดชีวิต จากการชนะการแข่ง ฮังเกอร์เกม ครั้งที่ 74 แต่สุดท้ายแล้วชีวิตของพวกเขาก็ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแคปปิตอลอยู่ดี ทั้งคู่ต้องเดินสายไปในฐานะคู่รักแบบปลอมๆ ด้วยความที่เธอนั้นกลายเป็นเสมือนความหวังของการปฏิวัติและการต่อต้านไปแล้ว ทางแคปปิตอลจึงหาทางที่จะกำจัดเธออีกครั้งด้วยการจัดงาน ฮังเกอร์เกม ขึ้นมาอีกครั้ง ในชื่อ ควอเตอร์เควล ที่จะเอาผู้ชนะจากปีก่อนๆ มารวมตัวกันเพื่อให้ได้กลับมาฆ่ากัน โดยที่ไม่รู้ว่าการครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเมืองพาเน็มนี้ไปตลอดกาล
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Hunger Games: Catching Fire นั้น หากใครเป็นแฟนนิยายมาก่อนแล้ว เชื่อได้ว่าน่าจะหลงรักภาคนี้ได้อย่างแน่นอน ด้วยการดัดแปลงที่ค่อนข้างตรงกับนิยายมากๆ จะตัดออกไปก็เป็นส่วนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้มีผลต่อเรื่องมากนัก อีกทั้งหนังยังใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าโดยให้ทุกวินาทีในหนังนั้น เต็มไปด้วยความเข้มข้น ทั้งความน่าติดตาม ทั้งฉากแอคชั่นสุดระทึกที่ทำให้เราร่วมลุ้นไปกับตัวละครที่เรารักได้อยู่ตลอด จนขอยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดของหนังชุดนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยกันเลย หากใครที่ชอบ The Hunger Games ภาคแรกมาอยู่แล้วก็ต้องดูภาคต่อนี้ หรือใครที่ชอบแนว Dystopia อย่าง Divergent หรือ The Maze Runner ก็สามารถย้ายมาดู The Hunger Games ได้เช่นกัน
- สายหนังโลกดิสโทเปีย
- สายหนังดัดแปลงจากนิยาย
- สายหนังแอคชั่นความรุนแรง
- สายหนัง Young Adult
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หากใครที่ได้อ่านตัวนิยายต้นฉบับมาก่อน ก็น่ารู้สึกไปในทางเดียวกันว่า ชอบเนื้อหาในภาค 2 ที่สุด เพราะหลังจากที่มันได้ปูเรื่องราวให้เราเข้าใจถึงระบบการปกครองของพาเน็ม ในการแบ่งเขตต่างๆ ที่มีเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเฉพาะตัวของตัวเอง โดยมีเมืองหลวงอย่างแคปปิตอลที่ปกครองอยู่ในรูปแบบของเผด็จการ และมีการจัดการแข่งขัน ฮังเกอร์เกมส์ ขึ้นในทุกปี เพื่อเป็นการกดขี่บรรดาเขตต่างๆ เอาไว้ ซึ่งในภาคนี้ด้วยความกระด้างกระเดื่องและไม่ยอมเล่นตามกติกาของแคตนิสในการแข่งขันคราวก่อน ก็เหมือนเป็นตัวจุดเชื้อไฟขึ้นมา ว่าแท้จริงๆ คนเราสามารถขัดขืนและต่อต้านสิ่งเหล่านี้ได้
ทำให้ตัวบทในภาคนี้จึงมีความเป็นการเมืองเข้ามาผสมอยู่มาก ทั้งการวางแผน การตัดสินใจต่างๆ ของตัวละคร ล้วนแล้วแต่ต้องคิดถึงผลกระทบของการเมืองที่เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง มันเลยผลักดันให้จากการที่เป็นหนังจับคนมาฆ่ากันทั่วๆ ไปนั้น ได้มีประเด็นที่ลึกไปกว่านั้นมาก และยังเป็นตัวเสริมเรื่องราวให้เรานั้นอยากเอาใจช่วยแคตนิส ไม่เพียงแต่ให้เธอชนะเท่านั้น แต่ยังคาดหวังให้ไปไกลถึงล้มล้างระบบที่ปกครองอยู่ได้เลยทีเดียว ซึ่งด้วยการแสดงของ Jennifer Lawrence ดาราสาวอายุน้อยแต่อนาคตไกล ก็เรียกได้ว่าเข้ากับบทบาท และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในการแสดงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชั่นหรือดราม่าก็ตาม
อีกทั้งแง่ความสนุกในการแข่ง ฮังเกอร์เกม รอบนี้ก็เป็นการยกระดับขึ้นมา ให้มีการเล่นใหญ่อลังการขึ้น ทั้งตัวละครที่ดูโดดเด่นและน่าจดจำกว่าภาคก่อน เนื่องจากเป็นการรวมทีมออลสตาร์ ทำให้การแข่งครั้งนี้เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกกว่าเดิม จากคนที่มากฝีมือขึ้น อีกทั้งหนังยังใส่ประเด็นในเรื่องความหวาดระแวงที่ทุกคนดูเหมือนจะมีแผนของตัวเองกันอยู่เบื้องหลังจนทำให้ตัวเอกเองก็ต้องเกิดความสับสนไม่สามารถเชื่อใจใครได้ พอไปประกอบกับฉากใหญ่ๆ ที่ใส่ Puzzle เข้าไปให้ชวนคิดแล้ว ก็ยิ่งทำให้การเอาชีวิตรอดในครั้งนี้ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงระดับเต็มแม็กซ์เลย เพราะหากจะไปเปรียบเทียบกับตัวหนังสือแล้ว ก็คือว่าดัดแปลงออกมาได้เยี่ยมมากจริงๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในระหว่างถ่ายทำมี ฉากหนึ่งที่ Katniss, Finnick และ Peeta นั้นต้องกินปลาสดๆ จริงๆ แต่ด้วยความที่ดาราอย่าง Jennifer Lawrence และ Sam Clafin ดูเป็นคนรักปลามาก จนทำให้ฉากนี้ถ่ายทำได้ยากเหลือเกิน
- มีเครื่องบรรณาการ (Tributes) ตายถึง 1,725 ราย ในการแข่งขัน The Hunger Games ตลอด 75 ปีในเรื่องราว
- มีหลายคนสงสัยว่านามสกุล Lawrence ของผู้กำกับ Francis Lawrence และดาราสาว Jennifer Larence นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งสรุปได้ว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ