12 Years a Slave (2013)
ปลดแอก คนย่ำคน
คะแนน
โกดังหนัง
ถ่ายทอดชะตากรรมอันโหดร้ายของชีวิตคนธรรมดาที่ต้องกลายเป็นทาสถึง 12 ปี
ที่เต็มไปด้วยความหดหู่ ชวนเศร้า จนดิ่งไปกับเรื่องราว
คำคมจากภาพยนตร์
“I don’t want to survive. I want to live.” “ฉันไม่ได้อยากมีชีวิตรอด ฉันอยากใช้ชีวิต”
เรื่องย่อ
โซโลมอน นอร์ธอัพ ชายผิวดำที่ใช้ชีวิตปกติในเมืองที่เงียบสงบทางตอนเหนือของอเมริกา แต่กลับถูกคนแปลกหน้าวางยา และนำเขาไปขายเป็นทาสในเมืองทางตอนใต้ของประเทศ โดยมี เอ็พพ์ นายทาสผิวขาวเจ้าของไร่ฝ้ายที่แสนโหดร้าย ที่ไม่ได้มองว่าคนผิวดำเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นเสมือนสมบัติชิ้นหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น จนทำให้ โซโลมอน ต้องพยายามดิ้นรน และหนีออกจากชีวิตที่เป็นอยู่นี้ เพื่อหาอิสรภาพให้กับตัวเองให้ได้ แต่นั่นกลับใช้เวลาถึง 12 ปีกว่าจะมาถึงจุดนั้น
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ 12 Years a Slave นั้น เหมาะสำหรับคอหนังรางวัลเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการการันตีจากรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครอง ประกอบกับคุณภาพที่เต็มเปี่ยม ชวนหดหู่ ดำดิ่ง ไปกับชะตากรรมอันโหดร้ายที่ตัวละครต้องเผชิญ พ่วงด้วยทีมดาราระดับเกรด A ที่มีพลังการแสดงอันเหลือล้น ทำให้ใครที่อยากเข้าใจวิถีของคนผิวดำในสมัยนั้นว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไร เหมือนอย่างหนัง The Birth of a Nation, Django Unchained แล้ว นี่คือหนังอีกเรื่องที่จะพาเราดิ่งไปสู่ยุคนั้นกันแบบเรียลๆ กันอีกครั้ง
- สายหนังคุณภาพรางวัลการันตี
- สายหนังประเด็นคนผิวสี
- สายหนังประวัติศาสตร์ชีวประวัติ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ตัวหนังดัดแปลงมาจากหนังสือบันทึกของ โซโลมอน นอร์ธัพ เองที่เขียนถึงเรื่องราวของตัวเองในช่วง 12 ปีที่ไปตกอยู่ในฐานะทาสเอาไว้ ซึ่งในหนังก็ถ่ายทอดความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวของเขา ตั้งแต่ในมุมชีวิตที่ปกติสุขในตอนเริ่ม ก่อนที่ชีวิตจะเริ่มพลิกผันจากการโดนลักพาตัวไป และได้สะท้อนในการเดินทางของเขา ตั้งแต่เริ่มลงเรือค้าทาส ไปสู่เจ้านายแต่ละคน ไปจนถึงชีวิตประจำวันของเขาในแต่ละวัน ที่ต้องอยู่ในสถานะทาสแบบเต็มตัว
เรื่องราวของหนัง จึงเต็มไปด้วยความหดหู่ โหดร้าย กับการได้เห็นในสิ่งทีมนุษย์กระทำต่อกันมาได้ถึงเพียงนี้ ตั้งแต่ระบบและวัฒนธรรมการค้าทาสของอเมริกา ที่เสมือนเป็นประเทศมหาอำนาจมาโดยตลอด แต่กลับยอมรับกระบวนการค้ามนุษย์ และความไม่เท่าเทียมได้ถึงขนาดนี้ เพราะขนาดว่ามาจนถึงทุกวันนี้แล้ว การเหยียดสีผิวยังกลายเป็นประเด็นสำคัญ ที่ก่อให้เกิดการประท้วงเรียกร้องความเท่าเทียมที่แท้จริงกันอยู่เลย ซึ่งในหนังเราจะได้สัมผัสกับเรื่องราวเหล่านี้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง จนเห็นใจในทุกๆ ตัวละคร และเอาใจช่วยพวกเขาได้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง
ในส่วนของนักแสดงในเรื่องก็เรียกได้ว่าจัดเต็มกันมาก ไม่ว่าจะเป็น Chiwetel Ejiofor, Lupita Nyong’o, Michael Fassbender รวมถึงดาราคนอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงนั้น ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ดูแล้วทำให้เราเชื่อในชะตากรรมของพวกเขา ทั้งในฐานะผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ซึ่งแม้ว่าเนื้อหาของ 12 Years a Slave จะมาในยุคที่มีหนังมากมายที่เล่นกับประเด็นเรื่องคนผิวสีจนเกร่อแล้ว แต่ด้วยคุณภาพแบบจัดเต็มเข้มข้นชวนหดหู่ใจ ตลอดจนสุดท้ายแล้วประเด็นนี้ก็ยังไม่เคยจางหายไปจากโลกใบนี้ ทั้งเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ สีผิวต่างๆ นานา จึงไม่แปลกใจนักที่หนังคว้ารางวัลออสการ์หนังยอดเยี่ยมในปีนั้นมาครองได้อย่างสวยงาม
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ผู้กำกับ Steve McQueen มีไอเดียมาโดยตลอดกับการเขียนบทถึงคนผิวดำที่เกิดมาเป็นอิสระชน และแล้วต้องถูกบังคับให้กลายเป็นทาส ซึ่งในขณะที่เขาเขียนยทด้วยความยากลำบากนั้น ภรรยาของเขาก็พบเรื่องราวของ Solomon Northup พอดี ซึ่งเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวนี้มาก่อน เลยดัดแปลงบทมาจากหนังสือเล่มนี้แทน
- ด้วยความที่ในหนังมีหลายฉากที่รุนแรงมาก ระหว่าง Lupita Nyong’o กับ Michael Fassbender ทั้งคู่จึงต้องพยายามรักษาระยะห่างกันเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่พูดคุยกันเลย จนทำให้ภาพการแสดงทั้งคู่ในฉากเหล่านั้น จึงออกมาดูสมจริงและชวนหดหู่เปป็นอย่างมาก
- ต้นไม้ที่ตัวละคร Solomon เห็นการลงทัณฑ์อย่างรุนแรงมาโดยตลอดนั้น เป็นสถานที่ที่ใช้กระทำความรุนแรงเหล่านั้นจริงๆ และยังมีหลุมศพของทาสที่ตายไปอยู่รอบบริเวณนั้นเต็มไปหมด