Hacksaw Ridge (2016)

วีรบุรษสมรภูมิปาฏิหาริย์

Hacksaw Ridge Poster
10/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังแห่งศรัทธาและอุดมการณ์ เมื่อทหารคนหนึ่งตั้งใจว่าจะไม่ฆ่าคน อีกหนังสงครามที่สร้างความแตกต่างไม่เหมือนใคร

หมวดหมู่ : Biography Drama History
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Mel Gibson
ความยาว : 2 ชั่วโมง 19 นาที
นักแสดงนำ : Andrew Garfield, Sam Worthington, Luke Bracey

คำคมจากภาพยนตร์

“While everybody else is taking life, I’m gonna be saving it, and that’s gonna be my way to serve!”
“ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังคร่าเอาชีวิตกัน ผมเลือกที่จะช่วยชีวิตพวกเขา และนั่นก็คือวิถีทางที่ผมจะทำ!”

เรื่องย่อ

เดสมอนด์ ดอสส์ แพทย์สนามในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ออกรบในแนวหน้าพร้อมกับอุดมการณ์อันแรงกล้า พร้อมกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ของเขา ว่าจะไม่ขอจับอาวุธเพื่อคร่าชีวิตของผู้คน แม้ว่าจะอยู่ในแดนสงครามก็ตาม ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปมในวัยเด็กของเขาเกือบพลาดพลั้งเป็นฆาตกรที่ฆ่าพี่ชาย และพ่อของเขาเอง จนทำให้ฝังใจไปถึงตอนที่จะต้องออกไปรบ ซึ่งก็กลายเป็นว่าขัดกับหลักของกองทัพอีก เขาจึงต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองว่า เขาเองก็มีหนทางของตัวเองที่จะช่วยชาติโดยที่ไม่ต้องฆ่าใครในสนามรบ

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Hacksaw Ridge เหมาะกับคอหนังสงครามเป็นอย่างมาก และยังสะท้อนในมุมของคนที่ไม่เต็มใจจะฆ่าคน ว่าถ้าถูกโยนลงไปในสมรภูมิแล้วจะเป็นยังไง อีกทั้งหนังยังเต็มเป็นด้วยความรุนแรง  และภาพที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก สมกับเรท R ที่หนังได้รับมา ซึ่งหากคุณไม่ใช่สายโหดขนาดนั้น ก็อาจจะเป็นการทรมานตัวเองไปสักหน่อยกับฉากน่ากลัวเหล่านี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็นับเป็นหนังสงครามที่ทรงคุณค่าอีกเรื่องของหลายๆ คน ที่อยากให้ได้รับชมเป็นอย่างยิ่ง และควรยกขึ้นหิ้งไปพร้อมกับหนังอย่าง Saving Private Ryan หรือ The Thin Red Line ไปด้วยกันเลย

  • สายหนังสงครามโหดร้าย
  • สายหนังวีรบุรุษสงคราม
  • สายหนังชีวประวัติสงคราม

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังสงครามชั้นเยี่ยมอีกเรื่องที่ค่อนข้าง Underated มากๆ ของผู้กำกับมือเก๋าอย่าง เมล กิ๊บสัน ที่ทำหนังดีๆ มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งในเรื่องนี้ก็เป็นการหยิบเอาเรื่องจริงของ เดสมอนด์ ดอสส์ วีรบุรษสงครามจากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับเหรียญกล้าหาญมาประดับกายโดยที่ไม่ได้คร่าชีวิตใครแม้แต่คนเดียว ซึ่งเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจแค่เพียงสำหรับ เมล กิ๊บสัน เองเท่านั้น แต่ในฝั่งคนดูก็ตั้งคำถามและสงสัยเหมือนกัน ว่าเขาคิดอย่างไร ถึงได้เลือกทำแบบนี้? และเขาทำมันได้อย่างไร?

ซึ่งหนังก็ตอบโจทย์ได้ดีโดยการพาเราไปสำรวจตัวละครในช่วงครึ่งแรก ถึงที่มาที่ไปของความคิด ทั้งในเรื่องความศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และปมในจิตใจที่ปั้นตัวเขามาเป็นตัวเขาในช่วงครึ่งหลัง ที่ก็ทำให้คนดูเห็นอีกว่าในเมื่อไม่ฆ่าคน แล้วเขาจะช่วยเหลือพวกพ้องมาได้อย่างในสงครามครั้งนี้ ซึ่งหนังก็ถ่ายทอดฉากสงครามอันแสนโหดร้ายออกมาได้เป็นอย่างดี และได้เห็นว่า เดสมอนด์ นั้นทำภารกิจอะไรที่ทำให้เขาได้กลายเป็นวีรบุรษคนหนึ่งในสงครามครั้งนั้น

ต้องชื่นชมความมือถึงของผู้กำกับ เมล กิ๊บสัน ที่ทำฉากโหดต่างๆ ได้มีพลังตามสไตล์หนังที่ผ่านมาของเขา และใช้ Rate R ออกมาได้คุ้มค่า เพราะฉากสงครามของเขาไม่ต่างอะไรกับฉากในหนังสยองขวัญ ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงแบบเต็มพิกัด และน่าสะพรึงกลัวเต็มสูบ พอเเอาไปประกอบกับการตัดต่อชั้นเยี่ยม และการมิกซ์เสียงเป็นอย่างดี เสมือนโยนคนดูเข้าไปในฉากในหนังด้วยด้วย ก็สามารถทำให้เราเข้าใจตัวละครเดสมอนด์ที่ตั้งใจต่อต้านความรุนแรงได้เป็นอย่างดี และสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับหนังได้ เมื่อดูจบก็อดนับถือใจของทหารคนนี้ไม่ได้เลย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Desmond T. Doss วีรบุรุษสงครามในครั้งนี้ เคยตอบคำถามที่ว่าเขาช่วยชีวิตคนในสงครามในครั้งนั้นโดยการแบกลงมาเอาไว้ที่ 50 คน แต่บรรดาพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็บอกกันว่าเกือบ 100 คนด้วยซ้ำ การตกลงกันเลยออกมาเป็นกลางๆ อยู่ที่ประมาณ 75 คน และถ้ารวมในส่วนช่วยเหลือแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่การแบกอีก นับช่วงเวลาใน 3 อาทิตย์จะพบว่ามีถึง 300 กว่าคนเลยทีเดียว
  • ฉากสงครามอันสุดสยองของผู้กำกับ Mel Gibson นั้น ได้รับอิทธิพลมาจากฝันร้ายในวัยเด็กของเขา ที่พ่อของเขา ที่เป็นทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเก่า ได้เล่าถึงความน่ากลัวที่เขาต้องเผชิญในตอนไปรบ ให้กับเขาฟังก่อนนอน จนฝังใจมาเป็นฉากเหล่านี้
  • หนังได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ทั้งในตัวหนังเองและวีรกรรมของ Desmond ในเรื่อง จนทำให้การฉายที่ งาน Venice Film Festival ในปี 2016 ผู้ชมในรอบนั้นต่างยืนปรบมือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 9 นาที 48 วินาที เพื่อชาบูให้กับหนังเรื่องนี้ และตัวหนังเองก็ยังไปคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาตัดต่อยอดเยี่ยม และมิกซ์เสียงยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จอีกด้วย