รวมหนังยุครุ่งเรือง ของพระเอกคืนฟอร์ม Brendan Fraser
ในช่วงยุค 90s นั้น มีพระเอกหน้าทะเล้นคนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก จากบทบาทในหนัง The Mummy ตอนปี 1999 ที่ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกในฐานะพระเอกแอคชั่น คอเมดี้อันดับต้นๆ ของวงการ จนมีหนังในแบบฉบับของเขาตามมาอีกมากมาย จนกระทั่งเมื่อเวลาได้ผ่านเลยไปนั้น เขาก็ได้หายหน้าหายตาออกไปจากวงการ จนสร้างความสงสัยให้กับผู้คนและแฟนๆ เป็นอย่างมากว่าเขาหายไปไหน แถมภาพที่ปรากฏในสื่อของเขานั้น ก็ไม่เหลือคราบพระเอกหน้าหล่ออีกต่อไปแล้ว
ซึ่งในภายหลังทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องราวจากนิตยสาร GQ ว่า เขานั้นถูก ฟิลลิป เบิร์ก อดีตประธานของงาน Hollywood Foreign Press Association ที่เป็นผู้จัดงานลูกโลกทองคำล่วงละเมิดทางเพศเขา จนเขาเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบ ไม่กล้าออกมา เพราะกลัวว่าจะถูกผู้มีอิทธิพลแบบนี้ทำเขาหมดอนาคต จนทำให้เขากลายเป็นโรคซึมเศร้าเสียเอง ประกอบกับมรสุมชีวิตทั้งอาการบาดเจ็บจากการเล่นหนังแอคชั่น ไปจนถึงการหย่าร้างกับภรรยา แต่สุดท้ายเขาก็ยังสามารถกลับมาได้ พร้อมกับการต้อนรับของแฟนๆ เป็นอย่างดีจากหนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง The Whale ของ Darren Aronofsky วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนไปย้อนช่วงเวลายุคทองของเขากัน ว่าจะมีเรื่องอะไรกันบ้าง
1. Gerorge of the Jungle (1997) – จอร์จ เจ้าป่าฮาหลุดโลก
จอร์จ เด็กน้อยที่รอดชีวิตมาได้จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในป่า แล้วได้รับการเลี้ยงดูจากลิงตัวหนึ่งในบริเวณนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับมนุษย์ด้วยกันครั้งแรก กับ เออร์ซูลา ทายาทของมหาเศรษฐีที่เข้ามาล่าสัตว์แถวนี้ แล้วได้จอร์จเข้ามาช่วยไว้ จนทำให้เขาได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์จากเธอ ในขณะเดียวกันคู่หมั้นของ เออร์ซูลา ก็ออกมาตามหาเธอ พร้อมกับลิงเผือกในตำนานไปพร้อมๆ กัน จนสุดท้ายเมื่อถูกตามหาจนพบ เออร์ซูลา ก็ตัดสินใจพาจอร์จกลับเข้ามาในเมืองด้วยจนมีเรื่องวุ่นๆ ตามมา
หนังที่มีพล็อตเรื่องเหมือนจะเป็น Parody ของ Tarzan นั่นแหละ เพราะมันเล่าถึงเด็กที่โตมาในป่าท่ามกลางการเลี้ยงดูของลิง จนพอเข้าเมืองก็เลยสร้างสถานการณ์อะไรฮาๆ ได้ แต่แม้ว่าจะเป็นหนังแนวตลกๆ แต่ Brendan ก็ทุ่มสุดตัวเพื่อรับบทนี้ จนถึงขนาดขาดคาร์โปไฮเดรตแล้วเสียความจำระยะสั้นในช่วงถ่ายทำกันไปเลยทีเดียว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ค่อนข้างคุ้มค่า เพราะตัวหนังออกมาได้ค่อนข้างบันเทิง เป็นที่ถูกใจของผู้คนด้วยรายได้ที่ออกมาสูง ประกอบกับการเป็นพระเอกหน้าหล่อหุ่นดีสุดเซ็กซี่ ก็ทำให้เขากลายเป็นที่น่าจับตามองในวงการ แต่ไปดังพลุแตกอีกทีจาก The Mummy นั่นเอง
2. The Mummy (1999) – เดอะ มัมมี่ คืนชีพคำสาปนรกล้างโลก
ค่ำคืนหนึ่งในสมัยอียิปต์โบราณนั้น ฟาโรห์พระเจ้าเซติที่ 1 ได้เข้ามาพบเห็นการลักลอบคบชู้ระหว่างสนมเอก อนัค ซู นามูน กับปุโรหิต อิมโฮเทป จนเตรียมสั่งประหาร แต่ทว่า อิมโฮเทป กับลงมือสังหารฟาโรห์เสียก่อน และหนีออกมาได้ เมื่อเขาตั้งใจจะกลับไปช่วยชุบชีวิตคนรักสาวนั้น ก็กลับโดนสังหารและลงโทษสูงสุดจากการทำให้เป็นมัมมี่ทั้งเป็น และลงอาคมเอาไว้ จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบัน บรรดานักขุดสุสานนั้นต่างพยายามบุกเข้าไปค้นหาสมบัติ และต้องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ แต่กลับทำพลาดไปปลุกให้ อิมโฮเทป คืนชีพขึ้นมา พวกเขาจึงต้องหาทางถอนคำสาปนี้ลงให้ได้
The Mummy ในเวอร์ชั่นปี 1999 นี้ น่าจะเหมาะคนที่เป็นคอหนังสายแอคชั่นแฟนตาซีมากกว่า เพราะแม้ว่า มัมมี่ จะเป็นอีกหนึ่งอสูรกายชวนสยองในจักรวาล Monsterverse แต่ในฉบับนี้คือการทำออกมาในรูปแบบแอคชั่น ผจญภัยที่แทบไม่มีความสยองแม้แต่น้อย ด้วยเรทแค่เพียง PG-13 เท่านั้น ก็แน่นอนว่าเราแทบจะไม่ได้เห็นความรุนแรงจากในหนังเลย แต่มันก็มีแอคชั่นที่สนุกและฉากแอคชั่นใหญ่ๆ อลังการเข้ามาทดแทน แต่หากใครอยากเห็นมัมมี่ฉบับสยองอาจต้องมองข้ามไปก่อน ซึ่งหนังเรื่องนี้แหละที่ทำให้ Brendan Fraser ดังเป็นพลุแตกในยุคนั้นเลย จนมีภาคต่อตามมาอีกจนเป็นไตรภาค
3. Bedazzled (2000) – 7 พรพิลึกเสกคนให้ยุ่งเหยิง
เอลเลียต ริชาร์ดส์ หนุ่มที่มีสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับผู้คนสักเท่าไร แม้ว่าจะเป็นคนหวังดีก็ตาม วันหนึ่งเขาได้ตกหลุมรักกับ อลิสัน สาวเพื่อนร่วมงาน และพยายามจีบเธอให้สำเร็จ แต่มันก็ยากเหลือเกิน จนถึงขั้นที่เขาต้องเอยปากขอเอาชีวิตมาแลกเพื่อให้ความรักนี้สำเร็จ ทำให้เขาได้พบกับปีศาจสาวสุดแซ่บที่โผล่ออกมาเพื่อให้พรเขาถึง 7 ข้อ เพื่อให้ความรักของเขาสมหวัง แต่ปลายทางของการขอ 7 ข้อนั้น ต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเอง
หนังที่สร้างจากงานชื่อเดียวกันเมื่อปี 1967 แต่ถูกปรับบริบทมาให้ทันสมัยขึ้น แต่สุดท้ายหัวใจของเรื่องราวก็ไม่พ้นเรื่องที่ว่ามนุษย์ล้วนปราถนาความรักมาโดยเสมอ แต่ทั้งนี้หนังมันก็เน้นความเรียบง่าย และมีสูตรสำเร็จพอประมาณที่จะสอนเรื่องความรัก และสิ่งที่ต้องแลกมาได้อย่างน่าสนใจ ในด้านมุขตลกก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างพอถูไถ มีจุดฮาได้เรื่อยๆ ตลอดเรื่อง ในส่วนของดาราอย่าง Elizabeth Hurley ในบทปีศาจก็ต้องยอมรับว่าสวยเซ็กซี่มากๆ จนสุดท้าย Bedazzled ก็นับเป็นหนังระดับกลางๆ ที่ดูได้สนุกอีกเรื่องเลย
4. Looney Tunes: Back in Action (2003) – รวมพลพรรคผจญภัยสุดโลก
เดเมียน เดรค ยอดสายลับที่พยายามหาเพชร Blue Monkey Diamond เพื่อไม่ให้ถึงมือจอมวายร้ายแห่ง Aceme Corporation เอาไปใช้มันในทางที่ผิด แต่กลับพลาดท่าไป เลยทำให้ ดีเจ ลูกชายของเขา ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็น รปภ. อยู่ที่บริษัท Warner Bros. เลยต้องสานต่อภารกิจ ตามหาพ่อตัวเอง ซึ่งในจังหวะนั้นตัวการ์ตูนอย่าง ดัฟฟี้ ดั๊ก เพิ่งถูกไล่ออกไปทันที เลยได้มาร่วมเดินทางไปด้วยกัน พร้อมทั้งสหายของเจ้าเป็ดตัวนี้ จนเกิดภารกิจสุดวายป่วงสุดวุ่นวายตามมา
อีกผลงานกำกับของ Joe Dante ที่เคยสร้างชื่อมาจากหนังดังอย่าง Gremlins และมาแป้กในหนังดังอย่าง Small Soldier แต่ก็ยังพยายามสร้างเรื่องราวแฟนตาซีออกมาอยู่ ซึ่งครั้งนี้ก็ได้หยิบเอาแก๊ง Looney Tunes มาหวังปั้น เผื่อว่าจะได้ประสบความสำเร็จแบบหนังอย่าง Space Jam ได้บ้าง แต่ทว่าหนังก็ออกมาวายป่วงไม่น้อย เพราะตัวหนังเองดันคุมโทนของเรื่องระหว่างพาร์ทคนจริง และพาร์ทการ์ตูนได้แบบไม่เข้ากันสักเท่าไร ในส่วนของบทก็หลวมโพรก จนเหมือนเป็นการ์ตูนแบบเด็กๆ ที่ดูได้แค่เอาสีสันในช่วงเวลานั้น หรือใครที่เป็นแฟนคลับของ Looney Tunes อยู่แล้วก็น่าจะตอบโจทย์ได้อยู่เพราะมันออกมาเยอะดี
5. Crash (2004) – คนผวา
เรื่องราวของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติหลากหลายที่มา ต่างคนต่างมีอดีตที่ฝังใจ จนทำให้มีความเกลียดชังต่อเชื้อชาติ ผิวสี ที่ฝังรากลึก พอทุกคนได้มาพบกันด้วยเหตุการณ์หนึ่ง ก็กลายเป็นชนวนไปถึงเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
Crash เป็นหนังดีอีกเรื่องที่เล่าเรื่องย่อยาก เพราะว่าเกิดจากเรื่องราวของแต่ละคน ที่ดันมาบรรจบในที่เดียวกัน ตัวหนังค่อนข้างถ่ายทอดถึงความแตกต่าง แปลกแยก และความขัดแย้งของผู้คนได้เป็นอย่างดี พอเอาเรื่องราวของทุกคนมาร้อยเรียงเป็นเรื่องเดียวกัน มันก็ได้สเกลตัวแทนคนหลายๆ แบบในโลกนี้ได้อย่างน่าสนใจ หนังเต็มไปด้วยตัวละครสีเทาๆ ที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก และเล่าเรื่องภายในช่วงเวลาที่เกิดขึ้นไม่นาน แต่กลับสะท้อนพลังได้ขนาดนี้ สิ่งเดียวที่ยังคาใจมาโดยตลอดก็คือชื่อไทยของหนัง ที่ตั้งไว้ว่า “คนผวา” ที่รู้สึกว่ามันไม่ได้เข้ากับหนังสักเท่าไรเลยจริงๆ
6. Journey to the Center of the Earth (2008) – ดิ่งทะลุสะดือโลก
เทรเวอร์ นักธรณีวิทยาที่พี่ชายหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อ 10 ก่อนหลังจากที่เขาได้ไปสำรวจพื้นที่ในแถบไอซ์แลนด์ จนวันหนึ่งเขาก็ได้มีโอกาสในการออกไปตามหาพี่ชาย โดยมีหลานชายอย่าง ฌอน มาขอร่วมเดินทางไปด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี ฮานนาห์ ไกด์สาวอีกคน แต่แค่เริ่มออกเดินทาง ถ้ำที่พวกเขาเข้าไปก็กลับออกมาไม่ได้ซะแล้ว จนทำให้พวกเขาต้องเดินหน้าต่อไป จนได้พบกับดินแดนปริศนาที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด และภัยอันตราย ที่เข้าใกล้ใจกลางโลกเข้าไปทุกที
หนังแอคชั่นแบบดูเพลินอีกเรื่อง ที่สร้างความบันเทิงได้ดีมากๆ จนสร้างรายได้ทั่วโลกเกิน 200 ล้าน จนสตูดิโอก็มีการเดินหน้าสร้างภาคต่อทันที แต่เปลี่ยนดารานำจาก Brendan Fraser มาเป็น The Rock ให้เข้ากับยุคสมัยแทน ส่วนเนื้อหาถึงแม้จะเด็กๆ หน่อย แต่ก็มีความตื่นตาตื่นใจ กับอะไรแปลกๆ ที่ออกมา และร่วมลุ้นว่าจะมีอะไรโผล่อมาอีกเหมือนกัน เพราะมันเปรียบเสมือนเป็นโลกอีกใบเลย ยิ่งสมัยนั้นที่เทคโนโลยี 3D กำลังมา ก็รู้สึกว่ามีอะไรพุ่งเข้าหน้าเยอะดี
7. Inkheart (2008) – เปิดตำนาน อิงค์ฮาร์ท มหัศจรรย์ทะลุโลก
โม และแม็กกี้ 2 พ่อลูกผู้มีพลังพิเศษที่สามารถเอาตัวละครในหนังสือออกมาสู่โลกความเป็นจริงได้แต่จะมีคนในโลกความจริงหายไปแทน จนกระทั่งความซวยบังเกิดเมื่อ โม ดันไปอ่านให้ แคปปริคอน วายร้ายตัวเบ้งออกมาจากหนังสือ แล้วทำให้แม่ของแม็กกี้หลุดเข้าไปในหนังสือแทน ในตอนที่แม็กกี้อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น พวกเขาทั้งสองคนจึงพยายามออกตามหาหนังสือ Inkheart มาโดยตลอด จนเมื่อได้พบกับหนังสือ ก็กลับโดนขัดขวาง และถูกบีบบังคับให้ใช้พลังของเขาในทางที่ผิด เขาจึงต้องพยายามหาวิธีในการแก้ปัญหานี้ และช่วยภรรยาเขาออกมาให้ได้
เรื่องนี้น่าจะเป็นหนังเรื่องท้ายๆ ที่ยังดังอยู่ของพระเอก Brendan Fraser ที่เล่าเรื่องราวแฟนตาซีได้ออกมาอย่างสนุก แถมยังรวมดาราเบอร์ใหญ่ๆ เอาไว้หลายคนด้วย ซึ่งหนังสร้างออกมาจากหนังสือที่มีคนชื่นชมมากมาย ทำให้มีบทตั้งต้นที่ดีอยู่แล้ว แต่หนังเองก็เอามาดัดแปลงได้ค่อนข้างสนุกในแบบฉบับเด็กๆ หน่อย เพราะว่าเรื่องราวมันก็มีความแฟนตาซีอยู่แล้ว อีกทั้งคอนเซปก็น่าสนใจ ในความสามารถของตัวเอกที่สามารถเรียกตัวละครออกมาจากในหนังสือได้ แต่ด้วยความที่มันอาจจะเบาไปนิด และเด็กไปหน่อยสุดท้ายหนังเลยอาจจะเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มผู้ชมแบบครอบครัวมากกว่านักดูหนังกลุ่มอื่นๆ