X-Men: First Class (2011)
X-เม็น รุ่น 1
คะแนน
โกดังหนัง
การย้อนยุคของ X-Men ที่เข้ากับบรรยากาศยุคสงครามเย็นเป็นอย่างดี แม้ในทีมจะสเกลพลังยังไม่ใหญ่ แต่ก็ขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างสวยงาม
คำคมจากภาพยนตร์
“You want society to accept you; but you can’t even accept yourself.” “คุณต้องการให้สังคมยอมรับ แต่กลับยังไม่สามารถยอมรับตัวเองได้เลย"
เรื่องย่อ
ในปี 1960 นั้น ชาร์ล ชายผู้มีความสามารถด้านพลังจิต ที่เติบโตมาพร้อมกับ ราเวน สาวร่างกายสีฟ้าที่แปลงกายเป็นใครก็ได้ พวกเขาสองคนได้รู้จักกับ เอริค ชายที่มีพลังในการควบคุมโลหะที่มาพร้อมกับอดีตอันเลวร้าย การร่วมมือกันของพวกเขาก็เพื่อทำการรวบรวมบรรดามนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความแปลกแยกในสังคมเอามาไว้ที่โรงเรียนแห่งนี้ เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะใช้พลังและความสามารถของตัวเอง ซึ่งในขณะเดียวกัน ชาร์ล เองก็ได้รับคำขอจาก CIA ให้ทำภารกิจตามหาอาชญากรผู้ชั่วร้ายพอดี จึงเป็นโอกาสที่ให้ทำให้ชาร์ล และทีม X-Men รุ่นแรก ต้องมาร่วมกันทำภารกิจนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ X-Men: First Class นั้น เหมาะสำหรับคนที่กำลังอิ่มตัวกับ X-Men ชุดเก่าพอดี และอยากที่จะสำรวจอะไรใหม่ๆ ในจักรวาลนี้เพิ่ม โดยการย้อนเวลาไปสู่จุดกำเนิดของตัวละคร และการก่อตั้งสถาบัน X-Men ขึ้นมา ซึ่งก็นับว่ามีมีมุมมองในการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งทีมตัวละครและฉากหลังย้อนยุคที่ดูมีเสน่ห์ ซึ่งกับคนที่ต้องการฉากแอคชั่นอัดกันเละแบบเวอร์ชั่นก่อน อาจไม่ถึงใจนัก แต่หากใครที่ต้องการเนื้อเรื่องที่แข็งแรงเข้มข้น ในแบบของหนัง Marvel ที่ดีๆ อย่าง Iron Man หรือ Spider-Man แล้ว คิดว่าน่าจะชอบ X-Men ภาคนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน
- สายหนังแอคชั่นฮีโร่
- สายหนังฮีโร่มาเวล
- สายหนังฮีโร่ย้อนยุค
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หลังจาก X-Men ภาค The Last Stand จบลงไป ท่ามกลางกระแสคำวิจารณ์ที่ดูไม่โอเคกับตัวหนังเท่าไรนัก เพราะหากมองเทียบไปกับ 2 ภาคก่อนหน้า ก็ดูเหมือนหนังจะเร่งรีบไปจนทำทุกอย่างพังทั้งๆ ที่น่าจะปิดไตรภาคออกมาได้สวยๆ กว่านี้ ดังนั้นเมื่อทำต่อจากเดิมไม่ได้แล้ว ทางเดียวที่สตูดิโอจะหาทางออกก็คือการทำใหม่ แต่กลับเป็นการเริ่มต้นใหม่ได้อย่างน่าสนใจเวอร์ชั่นนี้ ที่จริงๆ ก็อ้างอิงจากสถานการณ์ในคอมมิคเองที่ออกมาในทางเดียวกัน ซึ่งก็นับว่าเป็นแนวทางดีในการหาความแปลกใหม่ เพราะนอกจากตัวหนังจะได้ในเรื่องของ ตัวละครเก่าในวัยละอ่อนผสมกับชุดใหม่แล้ว ในฉากหลังที่เป็นสงครามเย็นยุค 60s ก็เอื้อต่อการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี
เพราะในส่วนนี้จะทำให้เราเห็นว่าในขณะที่อเมริกาและโซเวียตที่อยู่ในจุดกำลังหวาดกลัวการใช้ขีปนาวุธกันของอีกฝ่าย แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังต้องพะวงกับพลังจากมนุษย์กลายพันธุ์ในประเทศตัวเองด้วย จากความแตกต่างที่พวกเขานั้นมี ซึ่งด้วยการกำกับของ Matthew Vaughn ที่มีผลงานฮีโร่ดีๆ ที่ใส่ใจในเนื้อหามาก่อนหน้าอย่าง Kick-Ass เลยไม่แปลกใจนักที่เขาจะเล่าเรื่อง กับหนังฮีโร่อย่าง X-Men ที่มีโทนวัยรุ่นออกมาได้ดีไม่แพ้กัน แต่ด้วยธีมของความเป็น X-Men ที่มีเรื่องราวของความแตกต่างแปลกแยกมาด้วยอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เขาแสดงฝีมือจากในส่วนนี้ขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว
อีกทั้งในส่วนของงาน CG และฉากแอคชั่นก็เรียกได้ว่าทำออกมาดีมากๆ แม้ฉากแอคชั่นจะมีไม่ค่อยเยอะ แต่ก็มีหลายๆ ฉากที่เป็นที่น่าจดจำ เช่น การยกเรือดำน้ำ หรือควบคุมจรวด ของ Magneto หากจะให้มองข้อเสียก็คงจะเป็นเรื่องการกระจายบท ที่ตัวประกอบรุ่น 1 อาจจะโดนรัศมีความสัมพันธ์ของ ชาร์ล และ เอริค กลบไปเสียหมด เพราะภาคนี้ดูจะเน้นหนักในการปูเรื่องราวของทั้งคู่มากเหลือเกิน ทั้งในแนวคิดทัศนคติที่ต่างกันของทั้งคู่ จนนำไปสู่ความแตกหักของเรื่องราวในภาคต่อๆ ไป ซึ่งในหากมองในแง่ดี ก็ถือว่าเป็นความพัฒนาตัวละครที่น่าสนใจมากๆ เมื่อแลกกับเวลาที่เสียไปของตัวละครอื่น นับว่าเป็น X-Men ภาคปฐมบทของรุ่นที่ปูทางมาได้เป็นอย่างดีเลยจริงๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- แม้ว่าจะเป็นธรรมเนียมที่จะมี Stan Lee เข้ามาเป็น Cameo ในหนัง Marvel มาโดยตลอด แต่กลับเรื่องนี้เขาไม่ได้มาเข้าร่วมเนื่องจากการถ่ายทำอยู่ไกลเกินไป
- ทีมสร้างหนังถึงกับจ้าง “ผู้เชี่ยวชาญด้าน X-Men” มาเพื่อช่วยทำให้นักแสดงเข้าใจถึงบทบาทขอวตัวละครมากขึ้นเลย
- เรื่องที่ตลกที่สุดในกองถ่ายคือดาราอย่าง James McAvoy ถึงกับลงทุนไปโกนหัวตัวเองเพื่อรับบท Charles Xarvier แต่มารู้ที่หลังว่า จริงๆ แล้ว Charles ในภาคนี้ยังมีผมอยู่ จนทำให้เขาต้องใส่ตัวต่อผมเข้าไป (น่าสงสาร)