The Woman King (2022)

มหาศึกวีรสตรีเหล็ก

The Woman King Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

กล้าพูดว่านี่เป็นหนังที่ดีมาก เป็นมากกว่าการต่อสู้ของผู้หญิงแต่นำเสนอได้แบบกล้าหาญในยุคทีโดนกดขี่ข่มเหง ไหนจะเรื่องสีผิวเรื่องค้าทาส กลายเป็นคนชนชั้นรอง แต่หนังบาลานซ์ทุกอย่างได้ดีฉากแอ็คชั่นดี ประเด็นดราม่าน่าจดจำ

หมวดหมู่ : Action History
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Gina Prince-Bythewood
ความยาว : 2 ชั่วโมง 15 นาที
นักแสดงนำ : Viola Davis, Thuso Mbedu, Lashana Lynch

คำคมจากภาพยนตร์

"To Be A Warrior You Must Kill Your Tears"
"จะเป็นนักรบคุณต้องจัดการน้ำตาของคุณซะ"

เรื่องย่อ

จากแรงบันดาลใจและเหตุการณ์จริง เรื่องราวการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของนายพลนานิสก้า ที่เธอฝึกฝนทหารเกณฑ์กองทัพนักรบหญิงหนึ่งเดียวในแอฟริกา อาโกจี เพื่อเป็นผู้ปกป้องอาณาจักรดาโฮเมในแอฟริกายุค 1800s ให้พร้อมสาหรับการต่อสู้กับศัตรูครั้งยิ่งใหญ่ ฝึกให้โหด รบให้แกร่ง อยากเป็นนักรบ จงเลิกหลั่งน้ำตา

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Woman King เหมือนกับว่าเรากำลังดู Black Panther เวอร์ชั่นไม่มีอาวุธพิเศษ เป็นหนังพลังหญิงที่เน้นการต่อสู้เพื่ออิสรภาพให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงจากสังคมผ้ชายเป็นใหญ่ บทหนังนำเสนอเนื้อหาได้ลึกซึ้งยุคสมัยก่อนผู้หญิงเป็นกลุ่มรอง ไหนจะเป็นเรื่องผิวสี หรือประเด็นอิสรภาพ องค์ประกอบหนังค่อนข้างดี  คอหนังสงคราม คนที่ชอบงานดราม่าย่้อนยุคที่ใช้ผู้หญิงนำเรื่องน่าจะชอบ เพราะพล็อตเรื่องเชิดชูผู้ใหญ่พอสมควร

  • สายหนังย้อนยุค
  • สายหนังสงคราม
  • สายหนังพลังหญิง

รีวิว / สรุปเนื้อหา

การที่หนังฉายหลังจาก Black Panther 2 อาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้หนังเรื่องนี้อาจโดนนำไปเปรียบเทียบได้ เพราะมีความคล้ายๆกันในแง่มุมที่เป็นหนังพลังหญิงที่ตัวละครพูดถึงกลุ่มคนจากแอฟริกาเหมือนกัน เพราะพล็อตเรื่องก็พูดถึงการต่อสู้ของกลุ่มนักรบหญิงผิวสี ที่พยายามปกป้องตัวเองยืนหยัดด้วยตัวเอง ในยุคที่มีการไล่ล่าอาณานิคมจากกลุ่มคนผิวสีขาว หรือกลุ่มชายเป็นใหญ่ แน่นอนว่าการฝึกทหารพลังผู้หญิงให้แข็งแกร่ง ไม่ได้แค่ปกป้องประเทศ แต่ยังปกป้องภัยร้ายที่มาแบบคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่ผู้หญิงผิวสีในยุคสมัยก่อนโดนกดขี่ข่มเหงด้วยจับตัวเป็นทาส ไหนจะต้องเจอกับสังคมชายเป็นใหญ่อีก หรือแม้กระทั่งการโดนคนผิวสีด้วยกันทำร้ายกันเองอีก พอมาดูองค์ประกอบแล้วมันจึงมีเนื้อหาที่มีคุณภาพมากกว่าแค่หนังดิ้นรนต่อสู้เพื่ออิสรภาพ

สิ่งที่ชอบคือหนังเรื่องนี้พูดถึงการนำเสนอว่า ผู้หญิงก็สามารถทำในสิ่งที่ผู้ชายทำได้ การสู้รบ หรือการบริหารปกครองบ้านเมือง ทำไมคนเราชอบตั้งธงตั้งกรอบอะไรเดิมๆ และเชื่อว่าผู้ชายทำได้อย่างเดียว บางทีผู้หญิงก็มีศักยภาพทำได้ดีไม่แพ้ผู้ชาย การที่ฝึกทหารเป็นผู้หญิง ถ้ามองดูดีๆเราจะพบว่ามันเป็นทางออกทางเลือกที่ดีกว่าที่จะฝึกฝนสาวๆเหล่านั้นให้มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่จะปล่อยให้พวกเธอถูกขายเป็นทาสโดนกดขี่โดนทรมาน เมื่อฝึกให้เป็นนักรบก็จะได้สัมผัสความอดทนพบเจอความโหดร้ายในการเอาชีวิตรอดในสังคมผู้ชายที่จะต้องโดนทุกปัญหาสารภาพจากสังคมชายเป็นใหญ่ ช่วงท้ายๆเรื่องที่มีตัวละครเลือกจะไปต่อสู้มากกว่าจะทอดทิ้งให้คนอื่นต้องตายหรือถูกขายเป็นทาส หรือฉากการต่อสู้กันคือสื่อสารให้เห็นแล้วว่า หนังพยายามนำเสนอถึงประเด็นการไม่ทอดทิ้งกัน ไม่มีใครยอมสุขสบายถ้าหากมีคนรอบข้างทุกข์เจ็บเจียนตาย การออกไปสู้ของทหารหญิงคือแบบมันทรงพลังมากจริงๆ

มาพูดกันที่กลุ่มนักแสดงกันบ้าง เหมือนเป็นการนำคนที่ไม่ได้ไปร่วมแจมใน Black Panther มาอยู่ใน Agojie ไม่ว่าจะเป็น Viola Davis นักแสดงตัวแม่ของวงการ เธอถ่ายทอดความเป็นนายพลหญิงนานิสก้า พอดูไปเรื่อยๆหนังพาคนดูไปสัมผัสเลเยอร์ของเธอที่มีหลายมิติ มีความแข็งแกร่ง ดุดัน เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ เด็ดเดี่ยวมีความเป็นผู้นำ ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน เสียสละ กล้าเผชิญหน้า ผู้หญิงที่ต่อสู้ปลุกฝังความคิดความเชื่อให้สาวๆผิวสี สมกับการเป็นแม่ทัพที่ฝึกสอนให้ผู้หญิงทุกคนออกมาสู้เป็นนักรบ แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้เห็นแง่มุมที่โกรธ อ่อนโยน หวาดกลัว เป็นนักแสดงที่มี Impact กับหนังอย่างแท้จริง , Lashana Lynch เป็นนักแสดงที่มาสร้างสีสันในเรื่องได้เยอะทีเดียว และอีกคนที่น่าชื่นชมคือ Thuso Mbedu สาวน้อยที่มอบการแสดงที่นาประทับใจในเรื่อง พวกเธอเล่นฉากแอ็คชั่นได้สนุกดูสมจริงๆมาก

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังใช้เวลาพัฒนาบทหนังนานกว่า 6 ปี
  • ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจจากการทำหนังมาจาก The Last of the Mohicans , Braveheart และ Gladiator