The Transporter (2002)
ขนระห่ำไปบี้นรก
คะแนน
โกดังหนัง
หนังแอคชั่นสไตล์ ลุค เบซง ที่ไม่ได้กำกับโดย ลุค เบซง แต่ก็มีความเป็น ลุค เบซง อยู่ตลอดทั้งเรื่อง กับแอคชั่นสุดมันส์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน และฉากเท่ๆ
คำคมจากภาพยนตร์
“Rule #1. Never change the deal." “กฏข้อที่ 1 อย่าได้เปลี่ยนข้อตกลง”
เรื่องย่อ
แฟรงค์ มาร์ติน นักรับจ้างส่งของระดับเซียน ที่มีกฏในการทำงานที่เคร่งครัดอยู่ 3 ข้อ คือ 1. ห้ามไม่เปลี่ยนข้อตกลง 2. ไม่ต้องรู้ชื่อคนจ้าง 3. ไม่เปิดของออกมาดู ซึ่งในครั้งหนึ่งเขาได้รับงานจากผู้ว่าจ้างนามแฝงว่า “วอลล์สตรีท” เพื่อให้เขาไปส่งของตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ในระหว่างเดินทางนั้น พัสดุดังกล่าวกลับขยับได้ จนทำให้เขาต้องละเมิดกฏข้อที่ 3 ของตัวเอง และพบสาวคนหนึ่งอยู่ข้างใน จนทำให้แผนการส่งของครั้งนี้ของเขา ต้องเปลี่ยนไปเป็นการช่วยเหลือเธอแทน
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Transporter นั้น คือหนังที่ทำมาเพื่อคอหนังสายแอคชั่นแท้ๆ ด้วยบทที่เรียบง่ายแต่ใส่กิมมิคที่น่าสนใจ เช่นอาชีพนักส่งของสุดเท่ พอเอาไปประกอบกับคาแรคเตอร์คูลๆ พร้อมกับฉากแอคชั่นสุดมันส์แล้ว รับรองว่าจะต้องถูกใจคอหนังแอคชั่นกันอย่างแน่นอน อีกทั้งด้วยการที่มีผู้กำกับจีนเข้ามาในวงแบบนี้ ฉากต่อสู้มือเปล่าจึงผ่านการสร้างสรรค์มาอย่างดี อัดกันแบบจัดเต็ม แต่ในส่วนของความเป็นฝรั่งในการขับรถไล่ล่าก็มันส์ไม่แพ้เรื่องไหนเหมือนกัน ใครที่ชอบ The Transporter Refueled ที่เอามาทำใหม่ ก็น่าจะชอบภาคนี้กว่าแน่ๆ
- สายหนังแอคชั่นมันส์ระห่ำ
- สายหนังแอคชั่นพูดน้อยต่อยหนัก
- สายหนังแอคชั่นรถซิ่ง
รีวิว / สรุปเนื้อหา
นับเป็นหนังแอคชั่นอีกเรื่องที่แม้ว่าส่วนหลักๆ จะไม่มีอะไรแตกต่างจากหนังแอคชั่นทั่วๆ ไป แต่ก็ยังอุตส่าห์หาคอนเซปมาให้กับตัวละครเอก เป็นนักส่งของใส่สูทมาดเท่ ที่ดันเป็นเจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษมาก่อนด้วยอีก มันเลยเป็นตัวละครที่นอกจากจะมีอาชีพที่ค่อนข้างเฉพาะตัวแล้ว ยังทำให้เขาออกลวดลายลีลาบู๊ได้ในแบบที่คนไม่ต้องตั้งคำถามมาก จนสร้างความน่าจดจำได้ขึ้นไปอีก ซึ่งโดยเรื่องราวปกติของอาชีพคงไม่มีอะไรหวือหวา หนังเลยใส่พัสดุที่เป็นคนเข้ามาในภาคแรกนี้ เพื่อก่อให้เกิดเป็นเรื่องราวต่อไปในเรื่อง
ทำให้แม้ว่าเรื่องราวจะออกมาในรูปแบบของสูตรสำเร็จ เมื่อพัสดุไปส่งไม่ได้ ตัวร้ายก็ต้องส่งคนมายำ และมาของที่ว่าไปเอง จนทำให้ทั้งเรื่องเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้มือเปล่า, ฉากต่อสู้ด้วยอาวุธปืน ไปจนถึงฉากขับรถไล่ล่า ก็ทำออกมาได้ดุเดือดดุดันดี แล้วด้วยความที่มันก็เปลี่ยนฉากหลังและรูปแบบของฉากแอคชั่นอยู่ตลอด คนดูก็เลยสนุกไปกับฉากเหล่านี้โดยที่ไม่เบื่อนัก ซึ่งดาราอย่าง Jason Statam ก็สามารถรับบทนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งความเท่ และการออกลีลาบู๊ก็ทำออกมาได้หนักแน่นดูเท่สะใจมาก จนไม่แปลกใจที่หลังจากเรื่องนี้เขาก็ขึ้นแท่นแอคชั่นสตาร์ในระดับต้นๆ ของวงการในทันที
อีกเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังคงเป็นสไตล์ของหนังแอคชั่นแบบลุค เบซง เนี่ยแหละที่ทำออกมาได้ดูเพลินดี เพราะจริงๆ เรื่องนี้ก็มีธีมที่คล้ายๆ กับเรื่อง Taxi ของเขาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เรื่องนี้มีฉากแอคชั่นระห่ำกว่า แต่มันก็องค์ประกอบประเภทที่ว่า ตัวเอกเท่ สายลุยที่มีความยียวนในตัว จนหนังออกมาเป็นทั้งแอคชั่นแต่ก็มีอารมณ์ขันแฝงอยู่ในตัว พอเอาไปประกอบกับฉากแอคชั่นสุดมันส์ในหนังแล้ว ก็ยิ่งลงตัวดีเหลือเกิน นอกจากนี้ดนตรีประกอบในหนังก็ช่วยเสริมฉากแอคชั่นได้มาก และสุดท้ายที่เกือบลืมก็คือการที่ได้เห็น ซูฉี มารับบทในหนัง Hollywood แบบนี้ก็ดูดีมากๆ เหมาะกับการโกอินเตอร์จริงๆ จนเสียดายจนถึงทุกวันนี้ที่แทบไม่เห็นหนังเธออีกแล้ว
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Jason Statham แทบจะเล่นฉากแอคชั่นการต่อสู้เองทั้งหมดในหนัง แถมยังรวมถึงฉากขับรถไล่ล่าทั้งหมดด้วยตัวเองด้วย
- ในฉากที่ต่อสู้ในโรงรถที่เต็มไปด้วยน้ำมันนั้น ตัวหนังใช้ไซรัปหวานๆ มาใช้แทนน้ำมัน ดาราอย่าง Jason Statham จึงออกมาบอกว่ามันเป็นอะไรที่เหนียวหนึบหนับไม่น้อยเลย
- Shu Qi นั้นพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลยตอนที่มาแคสบทนี้ เลยทำให้โปรดิวเซอร์ส่งบทให้เธอไปก่อนเพื่อให้เธอได้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่ฮ่องกง ซึ่งด้วยอุปสรรคทางด้านภาษานนี้จึงทำให้เธอและ Jason Statham แทบไม่ได้คุยกันเลยตอนที่ถ่ายทำ