The Mist (2007)
มฤตยูหมอกกินมนุษย์
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่สะท้อนสันดานดิบของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับสภาวะสิ้นหวังได้เป็นอย่างดี และมีตอนจบที่จะตราตรึงใจคนดูไปตลอดชีวิต
คำคมจากภาพยนตร์
“As a species we're fundamentally insane. Put more than two of us in a room, we pick sides and start dreaming up reasons to kill one another. Why do you think we invented politics and religion?” “โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่มีความบ้าคลั่ง ถ้าเอาคนมากกว่า 2 คนมาไว้ในห้องเดียวกัน พวกเราก็เริ่มแบ่งข้าง และเริ่มหาเหตุผลที่จะฆ่าอีกฝั่งแล้ว ไม่งั้นคุณคิดว่าเราจะสร้างการเมืองและศาสนามาเพื่ออะไรกันล่ะ”
เรื่องย่อ
เดรย์ตัน คุณพ่อลูกหนึ่งที่ออกมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองพร้อมกับลูกชาย แต่แล้วในระหว่างทีกำลังช้อปปิ้งนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อมีหมอกเข้ามาปกคลุมเมือง จนแทบมองอะไรไม่เห็น คนที่เดินออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตไปก็ล้วนแล้วแต่ประสบกับชะตากรรมที่ไม่สวยนัก ท่ามกลางความสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตจากภายนอกนั้นคืออะไรกันแน่ กลับก่อให้เกิดสัญชาตญาณดิบของมนุษย์แต่ละคนภายในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้ โดยมีความกลัวเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาแยกจากกันแทนที่จะร่วมมือกัน
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Mist คือหนังที่เหมาะกับคนที่คิดว่าชีวิตกำลังแฮปปี้ดี แต่อยากลองเผชิญกับความหดหู่สิ้นหวังกันดูบ้างเพื่อให้ชีวิตดู Balance ขึ้น ด้วยความที่หนังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและได้สัมผัสกับสันดานดิบของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับความกลัวและอันตรายนั้น จะมีปฏิกิริยาออกมากันอย่างไร จนทำให้แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนหนังเผชิญหน้ากับหมอกปริศนา หรือสัตว์ประหลาดแต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการเล่าถึงการเผชิญหน้ากับสภาพจิตใจตัวเองมากกว่า ใครที่ชอบหนังโทนๆ นี้อย่าง Cloverfield หรือ The Thing แล้ว อยากให้ลองเรื่องนี้ เพราะจะได้มีตอนจบที่ฝังใจไปเหมือนคนอื่นๆ ที่ได้ดูมา
- สายหนังสัตว์ประหลาดปริศนา
- สายหนังเอาชีีวิตรอด
- สายหนังมหันตภัย
รีวิว / สรุปเนื้อหา
The Mist เป็นหนังแนวสยองขวัญ-ระทึกขวัญอีกเรื่องจากปลายปากกาของเจ้าพ่อนิยายแนวสยองอย่าง Stephen King และได้ผู้กำกับคู่ใจอย่าง Frank Darabont ที่เคยทำผลงานดีๆ ร่วมกันมาแล้วมากมายอย่าง The Shawshank Redemption และ The Green Miles ที่ดูแล้วแต่ละแนวไม่ค่อยซ้ำกันสักเท่าไรเลย ซึ่งใน The Mist นั้นแม้ภายนอกจะดูเป็นหนังสยองขวัญแต่จริงๆ แล้วกลับมีจุดเด่นในการเล่นกับจิตใจของมนุษย์ในยามที่เกิดความกลัวและเกิดปัญหาได้เป็นอย่างดี ว่าคนเรานั้นจะกลายสภาพมาเป็นอย่างไรได้บ้างเมื่อต้องอยู่ภายใต้สภาวะกดดันจนทุกอย่างอยู่เหนือเหตุผลไปจนหมด
ตัวหนังเองใช้พื้นที่ในการสร้างสรรค์หนังอย่างคุ้มค่ามากๆ เพราะตลอดแทบทั้งเรื่องจะอยู่ใน Supermarket เกือบหมด ส่วนข้างนอกก็ปกคลุมด้วยหมอกหนาๆ กันไป เลยใช้ทุนไปเพียงแค่ $18 ล้านเท่านั้น คิดว่าน่าจะหมดไปกับการสร้างหมอกที่เนียนตาดีจนมองอะไรไม่เห็นเลย ซึ่งแม้ว่าหนังจะใช้ฉากหลังแค่เท่านี้ก็จริง แต่กลับปั้นตัวละครออกมาได้สนุกมากๆ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะต้องชื่นชมในส่วนต้นฉบับนิยายที่คิดคาแรคเตอร์แต่ละตัวละครออกมาได้ดีเช่นนี้ ก่อนที่จะไปชมในส่วนของดาราในเรื่องที่สร้างอารมณ์ร่วมทั้งฝั่งเชียร์และฝั่งที่เกลียดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะป้ามหาภัยที่ดันเอาความเชื่อในเรื่องศาสนาเข้ามาจนทำให้คนเกิดความสติแตกในสภาวะเช่นนี้อีก มันเลยเสมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างคนสองฝั่งที่ยังพอมีสติและใช้เหตุผล กับกลุ่มที่บ้าคลั่งไปแล้ว และยอมเชื่อทุกอย่างถ้ามันเป็นทางรอดได้อย่างเข้มข้นถึงใจมากๆ
ในส่วนของตัวหมอกก็สร้างปริศนาให้กับเรื่องได้ดี แม้เราจะไม่รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น แต่การออกไปของบางตัวละครก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่ามันอันตรายมาก ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม จนหมอกกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่ตลอดทั้งเรื่องเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากประเด็นเรื่องมนุษย์ที่เข้มข้นแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างของหนังก็คือในส่วนของตอนจบของเรื่องราว ที่บอกเลยว่าแม้ว่าเคยดูมาแล้วจะจำเนื้อหาหรืออะไรไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะหลงเหลือเอาไว้ในความทรงจำของคุณสำหรับหนังเรื่องนี้ ก็คือตอนจบที่ตราตรึงใจไปจนวันตายอย่างแน่นอน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ปู่ Stephen King ผู้แต่งนิยายถึงกับกล่าวชมว่าหนังเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงออกมาได้น่ากลัวจริงๆ ซึ่ง Frank Darabont ก็น้อมพร้อมบอกว่านี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในอาชีพของเขา
- Frank Darabont ตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้ให้กับค่ายด้วยเงื่อนไขเดียวที่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ห้ามเปลี่ยนบทในตอนจบนี้เป็นอันขาด
- ไอเดียตั้งต้นของ Stephen King ในการแต่งนิยายเรื่องนี้คือ เมื่อเขาไปที่ Super Market ใน Maine เขาสังเกตว่าหน้าต่างด้านหน้าขนาดใหญ่ทำมาจากกระจก และจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีแมลงขนาดใหญ่ยักษ์เข้ามา