The Creators (2023)
เดอะ ครีเอเตอร์
คะแนน
โกดังหนัง
งานไซไฟที่โปรดักชั่นอลังการมากๆ ไม่คิดว่าจะเนรมิตเมืองไทยได้สวยงามแบบนี้ ฉากแอ็คชั่นเพียบแฝงดราม่าไว้ได้คมคาย
หมวดหมู่ : | Sci-Fi |
สัญชาติ : | American |
กำกับโดย : | Gareth Edwards |
ความยาว : | 2 ชั่วโมง 15 นาที |
นักแสดงนำ : | John David Washington, Gemma Chan, Ken Watanabe |
คำคมจากภาพยนตร์
"Then we re the same we can't go to heaven because you re not good and i'm not a person"
"เราก็เหมือนกัน เราไม่สามารถไปสวรรค์ได้ เพราะคุณไม่ใช่คนดี และผมก็ไม่ใช่คน"
เรื่องย่อ
Joshua ทหารหน่วยเฉพาะกิจฝีมือฉมังที่กำลังโศกเศร้าต่อการสูญเสียภรรยา ได้รับมอบหมายภารกิจให้นำชุดปฏิบัติการบุกไปสังหารผู้นำของเอไอที่มีชื่อว่า “ผู้สร้าง” ซึ่งเป็นผู้คิดค้นอาวุธทำลายล้างมนุษยชาติ และกำลังพัฒนาอาวุธใหม่ที่จะทำให้สงครามระหว่างมนุษย์กับเอไอได้ถึงคราวยุติ เมื่อบุกเข้าไปในดินแดนที่เหล่าเอไอยึดครองอยู่ จนได้พบว่าอาวุธมหาประลัยดังกล่าวคือเอไอที่อยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง และมันได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเกี่ยวกับสงครามระหว่างมนุษย์กับเอไอของเขาไปตลอดกาล
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Creator จัดเป็นหนังไซไฟฟอร์มยักษ์ที่ควรค่าแก่การชมสักครั้งในชีวิตไม่ได้พูดเพราะเป็นงานที่มีฉากหลังในเมืองไทย แต่เนื้อหาก็ยังพูดถึงธาตุแท้ความเห็นแก่ตัว การหลอกใช้หักหลังทรยศ การเบียดเบียนของคนที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า หนังยังหยิบวัฒนธรรมเอเชียมาหล่อหลอมเป็นโลกอนาคตที่น่าตื่นตาตื่นใจแปลกใจกว่าที่คุ้้นเคย องค์ประกอบหนังเรื่องเลยออกมาทะเยอทะยานแบบที่เขาตั้งใจเอาไว้ การหยิบ AI มาเป็นตัวเล่าเรื่อง ผ่านสงครามการต่อสู้กันระหว่างคนกับหุ่นยนต์มันเลยทำให้รู้สึกสนุกมากๆ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หน้าหนังจากเรื่องย่อและตัวอย่างบอกให้เรารับรู้ว่านี่คือหนังที่ใช้สงครามโลกอนาคตเป็นฉากหลัง ประเด็นจริงๆอยู่ที่ภารกิจของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องหาเด็กหนุ่ม AI ที่ว่ากันว่าเป็นอาวุธชนิดใหม่มาทำลายทิ้งซะ แต่ระหว่างทางของหนังค่อยๆเล่าเรื่องไปทีละนิด งานของ Gareth Edwards มันมีความล้ำมากๆ ของกล้าคิดกล้าแหวกแนวทุกอย่าง ทำให้เอเชีย ทำให้เมืองไทยโลเคชั่นหลักกลายเป็นโลกที่เหนือกว่าจินตนาการ มันดูจับต้องได้ และก็ใช้พระเอกกับเด็กน้อย AI เป็นคนเดินเรื่องตลอดทาง หนังดูง่ายมากๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เมื่อสำรวจจริงๆจะพูดว่าคนกับ AI ก็แทบไม่ได้ต่างกันเลย และกลายเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์จากคนมีอำนาจโดยที่เราไม่รู้ตัว มีชีวิตความรู้สึก มีเป้าหมาย ว่าต้องทำอะไร แต่ที่แตกต่างกันคือรูปลักษณ์ภายนอกก็เท่านั้น ค่อนข้างชอบที่หนังพูดถึงโลกตะวันออกและตะวันตกที่แบ่งแยกชัดเจน เอเชียกลายเป็นพื้นที่ของ AI พวกเขารวมตัวกันและพัฒนาประเทศไปเรื่อย ตรงกันข้ามกับตะวันตกที่ผู้คนล้มตายไปเรื่อยๆเพราะภัยร้ายจากนิวเคลียร์ แน่นอนว่าคนย่อมอยากเป็นใหญ่มีจุดหมายคือกำจัด AI ให้สิ้นซาก ใช้กำลังบุกรุกโจมตีสร้างสังคมเพื่อตั้งตัวข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า
ไฮไลท์ของหนังที่หลายๆคนรอคอยหนังเรื่องนี้คือเมืองไทย การประติดประต่อหลากหลายโลเคชั่น เนรมิตออกมาให้กลายเป็นนิวเอเชีย มันงดงามจริงจังๆมากๆ เราไม่คิดว่าจะได้เห็นพระเป็น AI หรือ AI ขี่มอเตอร์ไซต์จริงๆ กลายเป็นว่ามันแปลกตา หลากหลายสถานที่หลายจังหวัดถูกประกอบร่างใหม่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่สวยงามสำหรับหนังเรื่องนี้ พิษณุโลก, อุบลราชธานี, กาญจนบุรี, ศรีสะเกษ, ลพบุรี ฯลฯ คือแบบไม่น่าเชื่อว่านี่คือโลเคชั่นเมืองไทย พร้อมกับได้ทีมงานคนไทยมาเป็นแรงขับเคลื่อนให้หนังมันมีความระดับโลกมาก แถมยังสอดแทรกหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา วิถีชีวิตคน เอเชียที่ยึดเหนี่ยวเรื่องพวกนี้ พอมาอยู่หนังไซไฟโลกดิสโทเปียคือมันเรียกได้ว่าเป็นงานอาร์ตมากๆ เรียกว่าเบื้องหลังเมืองไทยฉากหนังมันดีมากๆ นี่ยังไม่รวมภาษาถิ่นฐานในเรื่องที่แบบไม่คิดว่าจะได้ยินคำหยาบคายแบบไทยๆในหนังสเกลยักษ์ Hollywood อดขำไม่ได้จริงๆ หนังให้เกียรติใส่ความเป็นไทยไปเยอะเหมือนกัน ฉากแอ็คชั่นสงครามมาเต็มอัดแน่นด้วยซีนดราม่าเรียกว่าหนังทำการบ้านมาค่อนข้างดี แถมยังได้ซาวด์ประกอบของ Hans Zimmer มันช่วยทำให้บรรยากาศหนังได้ความเพลิดเพลินมากๆ
ภาพของหนังไม่ได้มีความแปลกใหม่ และหนังก็ไม่ได้เล่นประเด็นที่แรงอะไรเลย แต่ก็ได้การแสดงของ John David Washington มาเป็นคนแบกเรื่องราวเอาไว้ ผู้ชายคนนี้มาในพาร์ทนักรบที่สูญเสียทุกอย่างในชีวิต โดนหลอกโดนหักหลัง แล้วมาทำภารกิจเป็นตัวละครที่อ่อนแออ่อนไหวทางอารมณ์ อีกคนที่ซัพพอร์ตคือน้อง Madeleine Yuna Voyles เด็กวัย 9 ขวบ AI ที่ฉลาดรู้ทันไปซะทุกเรื่อง จะรู้สึกเสียดาย Gemma Chan ที่ความสวยของนางไม่ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ และพาร์ทความสัมพันธ์ของตัวละครไม่ได้มีน้ำหนักเท่าที่ควร มันกลายเป็นจุดที่น่าเห็นใจมีเวลาน้อยไป คือบทหนังไม่ได้สักเท่าไหร่ แถมการตัดต่อไม่ได้ดึงดูดผู้ชมเลยกลายเป็นจุดบอดของหนัง ทั้งที่โครงเรื่องปูทางมาดีแล้วแท้ๆ แต่เป็นหนังสเกลใหญ่ที่มีคุณภาพควรค่าแก่การชมในโรงมากๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- พอมาใช้โลเคชั่นในเมืองไทย ทำให้หนังใช้งบการถ่ายทำไป 80 ล้านเหรียญ
- ผู้กำกับตัดสินใจมาเขียนบทหนังที่เมืองไทยเพื่อหาโลเคชั่นที่เหมาะกับซีนหนังในเรื่อง
- Benedict Wong อดเล่นหนังเรื่องนี้เพราะตารางแน่นไป ทำให้บทตกเป็นของ Ken Watanabe.
- หนังใช้เวลาถ่ายทำไป 4 เดือนเศษ ตั้งแต่ 17 มกราคมและปิดกล้อง 30 พฤษภาคม 2022
- ผู้กำกับ Gareth Edwards เขียนบทนำเพื่อให้ John David Washington หลังประทับใจการแสดงในหนัง Monsters and Men
- เพราะผู้กำกับมีเครดิตจากหนัง Star Wars Rogue One ทำให้ทีมงานได้ถ่ายฉากใหญ่ที่ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
- หนังเลือกไปถ่ายทำในสถานที่จริงไม่ได้ใช้ Green Screen