Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)

ลบเธอ… ให้ไม่ลืม

Eternal Sunshine of the Spotless Mind Poster
9.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

นิยามที่ให้เห็นภาพชัดเจนของคำว่า การลบไม่ได้ช่วยให้ลืม
กับหนังไซไฟบนความโรแมนติคของคู่รักที่อยากลบอีกฝ่ายไป แต่ใจก็ยังไม่ลืม

หมวดหมู่ : Drama Romantic Sci-Fi
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Michel Gondry
ความยาว : 1 ชั่วโมง 48 นาที
นักแสดงนำ : Jim Carrey, Kate Winslet, Tom Wilkinson

คำคมจากภาพยนตร์

“I feel like sometimes I’m in my own little world and you’re always next to me and I don’t know how you do it but you understand me.”
“ฉันรู้สึกเหมือนบางครั้ง ฉันก็อยู่ในโลกเล็กๆ ของตัวเอง และก็มีเธอที่อยู่ข้างฉันมาโดยตลอด ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณทำได้อย่างไร แต่คุณก็เข้าใจฉัน”

เรื่องย่อ

โจเอล และคลีเมนไทน์ คู่รักที่ความสัมพันธ์ไปกันไม่รอดจึงจบลงด้วยการเลิกลา โดย คลีเมนไทน์ ได้ตัดสินใจไปลบความทรงจำเกี่ยวกับโจเอลในชีวิตหลังจากที่ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างหนัก ด้วยความโกรธเคืองและน้อยใจเขาจึงตัดสินใจด้วยความหุนหันพลันแล่น และต้องการไปลบเธอออกจากความทรงจำเขาเหมือนกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าในอนาคตพวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีกโดยที่ไม่มีความทรงจำของกันและกันแล้ว

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Eternal Sunshine of the Spotless Mind จะว่าเป็นหนังที่ดูยากมันก็ใช่ แต่จะว่าดูง่ายก็ไม่เชิง เพราะด้วยความที่หนังไมไ่ด้เล่าเรื่องตามลำดับเวลา อีกทั้งยังมีการตัดฉากไปมาอยู่เสมอ มันจึงเรียกร้องความสนใจจากคนดูอยู่ไม่น้อย ในการที่ต้องโฟกัสกับสิ่งที่หนังเสนอมา เพื่อร้อยเรียงเรื่องราวในหัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เป็นเลยกลายเป็นอีกหนังที่ค่อนข้างโดนใจเด็กแนว ที่ชอบโมเมนท์ของความสัมพันธ์ของตัวละครที่ทั้งรักทั้งพังที่หนังถ่ายทอดออกมา ซึ่งส่วนตัวคิดว่าจะให้หาหนังที่เหมือนกับเรื่องนี้คงยาก แต่คิดว่าถ้าใครนึกถึงซีรี่ส์อย่าง Black Mirror ที่มาเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ ความรักและการเลิกราแทน เรื่องนี้ก็เข้าโทนนั้นอยู่

  • สายหนังพล็อตล้ำ
  • สายหนังรางวัลบทดี
  • สายหนังโรแมนติคไซไฟ

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังแนวแปลกทีไ่ม่ค่อยได้เห็นนักกับการเอาพล็อตรักโรแมนติคมาผสมกับความไซไฟว่าด้วยเทคโนโลยีที่ลบความทรงจำ ที่ถ้าจะมีใครบอกว่ามันคือ Black Mirror (ซี่รี่ส์ด้านมืดของเทคโนโลยีของ Netflix) ในฉบับโรแมนติคก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก ซึ่งในพาร์ทความสัมพันธ์ของตัวละครก็ทำออกมาได้ดีมากๆ กับการได้เห็นชีวิตคู่ที่ค่อยๆ แตกสลายจากการไม่เข้าใจกัน การไม่ปรับตัวในความสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในความสัมพันธ์ของตัวละครคู่นี้ ซึ่งต้องขอบคุณการแสดงดีๆ ของ Jim Carrey ที่ลบภาพความตลกมาสู่ชายผู้จมทุกข์กับความรักได้อย่างน่าเห็นใจ รวมถึง Kate Winslet เอง ก็เป็นตัวการันตีในเรื่องการแสดงคุณภาพอยู่แล้ว ที่ไม่ว่าจะออกมาในลุคใดก็เอาอยู่ทั้งหมด

หนังจากบทของ Charlie Kaufman ในเรื่องนี้ เพียงแค่เห็นชื่อ ก็พอจะเดาได้กลายๆ ว่าเขาจะต้องมาในท่ายากไม่ต่างจากผลงานอื่นๆ ที่ผ่านมาของเขา ทำให้คนดูอย่างเราๆ จะต้องนั่งสังเกตรายละเอียดต่างๆ ในหนังที่จะเป็นตัวบอกว่า นี่คือความสัมพันธ์ในช่วงใดของตัวละคร เพราะหนังไมไ่ด้เล่าตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้น เลยต้องสังเกตกันเอาเอง ซึ่งนี่แหละก็เป็นอีกเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เราไปค่อยๆ กระเทาะเปลือกของความสัมพันธ์ตัวละครในช่วงเวลาต่างๆ ที่โยงใย ถักทอดผ่านการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี และเข้าใจในเหตุผลของการกระทำของพวกเขาได้มากขึ้น

ไม่น่าเชื่อว่าจากจุดเล็กๆ ของพล็อตการลบความทรงจำ มันนำไปสู่การต่อยอดเป็นหนังรักชั้นเยี่ยมได้ดีขนาดนี้ จนไม่แปลกใจที่มงรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมถึงมาลงในหนังเรื่องนี้ เพราะหนังสะท้อนแง่มมุมของความทรงจำได้เป็นอย่างดี และยังชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีบางอย่างก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยเรื่องความสัมพันธ์ได้ เท่ากับจิตใจของมนุษย์สองคนเอง เพราะการที่ตัวละครอย่างโจเอล และคลีเมนไทน์นั้น ต่างลบความจำเพื่อมาเริ่มความสัมพันธ์กันใหม่อยู่เสมอ ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเลย และคงดีเสียกว่าหากพวกเขาเลือกที่จะจดจำข้อดีข้อเสียของตัวเองเอาไว้ และนำไปปรับปรุงให้ความสัมพันธ์พวกเขาดีขึ้น แทนที่จะแก้ปัญหาแบบนี้

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ไอเดียตั้งต้นของหนังได้มาจาก เพื่อนศิลปินชาวฝรั่งเศส ของของผู้กำกับ Michel Gondry ที่ทำงานศิลปะแนวทดลอง โดยการส่ง Ecard ไปยัง Email ไปยังคนแปลกหน้า ด้วยข้อความประมาณว่า “ใครบางคนที่คุณรู้จักนั้น เพิ่งลบคุณออกไปจากความทรงจำของเขา” เพื่อสังเกตถึงปฏิกิริยานี้ เขาเลยเอามาต่อยอดสู่การลบความทรงจำในชีวิตจริงเอาซะเลย
  • สีผมของ คลีเมนไทน์ ที่แสดงโดย Kate Winslet ในเรื่องนั้นเป็นการใช้วิกผมทั้งเรื่อง เนื่องจากในเรื่องนั้นเธอจะต้องมีสีผมที่หลากหลาย และใน 1 วันเธอก็ต้องเข้าเล่นในหลายๆ ฉากพร้อมกับสีผมที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยสีผมของเธอนี่แหละที่กลายมาเป็นจุดสังเกตช่วงเวลาของคนดูได้เป็นอย่างดี
  • การที่ Jim Carrey เข้าถึงบทบาทได้มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ผลงานที่ผ่านมามีแต่ความตลกมาโดยตลอด นั่นก็เป็นเพราะเขาเพิ่งเลิกกับแฟนสาวคนหนึ่งมา แล้วผู้กำกับก็ดันอยากให้เขาเก็บอารมณ์นี้เอาไว้มาใช้กับหนัง เป็นเวลากว่าหนึ่งปีก่อนเริ่มถ่ายทำ จนทำให้เขาออกมาเป็นตัวละครที่พังเข้ากับอารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้จริงๆ