Panic Room (2002)
ห้องเช่านิรภัยท้านรก
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่ดูเป็นเหมือนงานพักร้อนของผู้กำกับสายเนี้ยบ David Fincher ที่ทำออกมาได้สนุก ชวนลุ้น กับสถานการในห้องปิดสุดระทึก
คำคมจากภาพยนตร์
“Get the FUCK out of my house!” “ไสหัวออกไปจากบ้านของฉัน!”
เรื่องย่อ
เม็ก และซาร่าห์ สองแม่ลูก ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในอพาร์ตเมนท์แห่งใหม่ ในคืนแรกที่พวกเธอเข้ามาอยู่นั่น ก็ดันได้พบกับแก๊งโจร 3 คน ที่ตั้งใจที่จะมาขโมยเงินที่ซ่อนเอาไว้อยู่ในบ้านหลังนี้ แต่แล้วก็ผิดแผน เพราะพวกเขาคาดว่าจะมาในวันที่ไม่มีคนอยู่ แต่กลับต้องเจอกับ 2 แม่ลูกเสียก่อน ซึ่งทั้งคู่ได้ค้นพบว่าในที่อยู่แห่งนี้นั้น มีห้องนิรภัยซ่อนอยู่ และถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องของที่อยู่ข้างในเป็นอย่างดี เลยตัดสินใจหนีพวกโจรเข้าไปอยู่ในนั้น ท่ามกลางโรคกลัวที่แคบของเม็ก และอาการเบาหวานของซาร่าห์ที่ค่อยๆ กำเริบขึ้น
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Panic Room นั้น เหมาะกับคอหนังสายลุ้นระทึก บนพล็อตเรื่องเกรดบีที่ดูดีมีระดับขึ้นมาจากการกำกับของ David Fincher ที่ทำให้การไล่ล่า และชั้นเชิงของทีมแม่ลูก และทีมโจรนั้น ดูมีความสนุก ลุ้นไปกับตัวหนังได้มากยิ่งขึ้น แม้ว่าหนังจะมีพล็อตเดิมๆ ก็ตาม แต่มุขใหม่ๆ ที่เอามาใช้ในหนังนั้น ก็ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ได้อย่างพอดิบดี จังหวะการเล่าเรื่องก็ดูแรงดีไม่มีตก ทำให้ใครชอบหนังสายลุ้นๆ ในพื้นที่ปิดแบบ Don’t Breathe, Phonebooth, Red Eye อะไรแบบนี้แล้ว อยากให้เก็บเรื่องนี้ไว้ในลิสท์ด้วย
- สายหนังลุ้นระทึกในพื้นที่ปิด
- สายหนังชิงไหวชิงพริบ
- สายหนังโจรปล้นบ้าน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าผู้กำกับสายเนี้ยบที่ใส่ใจในรายละเอียดเป็นอย่างมาก อย่าง David Fincher จะมากำกับหนังแนวระทึกขวัญอย่าง Panic Room เรื่องนี้ ที่มีพล็อตเรื่องแสนง่าย ว่าด้วย สองแม่ลูก ที่หนีเข้าห้องนิรภัยและเอาตัวรอดจากพวกโจรที่บุกเข้ามาเท่านั้น จนดูเหมือนเป็นหนังเกรดบีเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยจังหวะและชั้นเชิงของการกำกับก็ทำให้บทที่แสนง่ายนี้ ดูมีอะไรขึ้นมาได้อยู่เหมือนกัน กับลูกล่อลูกชน การชิงไหวชิงพริบระหว่างสองแม่ลูก และทีมโจรที่ดูขับเคี่ยวกันได้อย่างสนุก ชวนลุ้นระทึกได้อยู่ไม่น้อย รวมไปถึงปมของตัวละครทั้งสองคน ในเรื่องการที่เพิ่งแยกทางกับสามี ก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้หนังดูมีน้ำหนักมากกว่าหนังพล็อตเกรดบีแบบนี้อยู่เหมือนกัน
แต่ด้วยความที่พล็อตเรื่องมันมาเป็นแนวนี้ ต่อให้การกำกับจะดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถปกปิดในเรื่องความไม่สมเหตุสมผลได้อย่าง 100% ในหลายๆ ครั้งก็มีการตัดสินใจที่ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย รวมถึงในจังหวะที่โจรพยายามจะทางเข้าห้องไม่ได้ด้วยวิธีเดิมๆ ก็เป็นอะไรที่ชวนหงุดหงิดตามหนังสไตล์นี้อยู่พอสมควร แต่ทั้งนี้มันก็เป็นแค่ข้อเสียเพียงเล็กๆ น้อยๆ ของหนังเท่านั้น เพราะหากเรามองที่หัวใจหลักในด้านความลุ้นระทึก และชั้นเชิงของตัวละครสองฝั่งก็นับว่าหนังทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
ในด้านดารานั้น ในส่วนของ Jodie Foster ก็แทบไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะก็ยังคงฝีไม้ลายมือการแสดงเอาไว้ สมกับที่เคยได้รางวัลมาครองอยู่แล้ว แต่ที่แปลกตาไปเห็นจะเป็นน้อง Kristen Stewart ในวัยเด็กที่แสนน่ารัก ในแบบที่เราไม่ค่อยคุ้นหน้ากันสักเท่าไร เพราะเธอเพิ่งจะไปดังตอนที่เล่นหนังชุด Twilight นั่นเอง ในส่วนทีมโจรเองก็ไม่ใช่ใช้ดาราโนเนม เพราะก็มีทั้ง Forest Whitatker และ Jred Leto ที่เข้ามาเพิ่มสีสันให้การปล้นครั้งนี้ด้วย ทำให้โดยรวมๆ นั้น นี่จึงดูไม่ต่างอะไรจากหนังพักร้อนของ David Fincher ที่ช่วยยกระดับความระทึกในแบบเกรด B ให้ดูดีขึ้นมา ชวนลุ้นระทึกน่าติดตามขึ้นมาได้ ประกอบกับงานภาพสวยๆ หม่นๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาอยู่เช่นเคย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ด้วยความที่เป็นผู้กำกับสายเนี้ยบของ David Fincher นั้น ทำให้การถ่ายทำฉากที่กระเป๋ายาของตัวละคร Sarah ต้องถไลด์ไปกับพื้นออกจากห้องลับนั้น ต้องถ่ายทำกันถึง 103 เทคเลยทีเดียว
- มือเขียนบทอย่าง David Koepp ได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังเรื่องนี้มาจากข่าวพาดหัวใน The New York Times เกี่ยวกับห้องเซฟในบ้าน และการติดอยู่ในลิฟท์ภายในบ้านของตัวเอง เลยเอามาผสมกันเป็นหนังเรื่องนี้