Mission Impossible Ghost Protocol (2011)
มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา
คะแนน
โกดังหนัง
ชุบชีวิตแฟรนไชส์ให้กลับมาโด่งดัง ทอม ครูซ เล่นฉากแอ็คชั่นได้บ้าบิ่นกลายเป็นงานเสี่ยงตายที่คุ้มค่า ปูรากฐานสำคัญให้ Mission Impossible ได้ยิ่งใหญ่
หมวดหมู่ : | Action |
สัญชาติ : | American |
กำกับโดย : | Brad Bird |
ความยาว : | 2 ชั่วโมง 13 นาที |
นักแสดงนำ : | Tom Cruise, Jeremy Renner, Simon Pegg |
คำคมจากภาพยนตร์
"The Countdown Is Not Helping."
"การนับถอยหลังไม่ได้ช่วยอะไร
เรื่องย่อ
หลังโดนกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดนครเครมลิน เจ้าหน้าที่หน่วย IMF อีธาน ฮันท์ ถูกตัดหางปล่อยวัด รวมถึงเพื่อนร่วมหน่วยคนอื่น ๆ เมื่อประธานาธิบดีสั่งเริ่ม ปฏิบัติการไร้เงา อีธาน ที่ตกอยู่ในสภาพไร้ทางออกหรือผู้สนับสนุน ต้องหาหนทางล้างมลทินให้กับหน่วยงานของเขา และปกป้องการโดนโจมตีอีกครั้ง แต่ที่ทำให้ทุกอย่างยุ่งยากซับซ้อนขึ้น อีธาน ถูกบีบให้ต้องรับภารกิจนี้ร่วมกับเพื่อน ๆ ร่วมหน่วย IMF ซึ่งต่างต้องหลบหนีความผิด และแต่ละคนต่างมีแรงจูงใจส่วนตัวที่ อีธาน ไม่อาจล่วงรู้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Mission Impossible IIII ก็เป็นหนังชุดที่เหมาะกับคอหนังสไตล์สายลับกันอยู่แล้ว ซึ่งในภาคที่ 4 นี้จริงๆ แล้วก็สามารถดูได้อย่างโดดๆ โดยที่ไม่ต้องดูภาคอื่นๆมาก่อนแต่อย่างใด เพราะเหมือนเอาตัวละครเดิมมาใช้ แต่ก็เป็นเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งในภาคนี้มันมีเสน่ห์ของความเป็นหนังสายลับมาก ในขณะเดียวกันก็ดูบันเทิงไปกับฉากแอคชั่นสุดมันส์ในสไตล์ Blockbuster ไปด้วย ทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนคลับของหนัง Mission Impossible มาก่อนหรือไม่ก็ตาม ยังไงเราก็แนะนำให้ดูภาคนี้กันอยู่ดี ยิ่งคนที่ชอบหนังสายลับแบบ The Bourne Identity หรือแนว Bond อยู่แล้ว ก็ได้จะได้คารแคเรคเตอร์อีกแบบดี
- สายหนังแอคชั่นสายลับ
- สายหนังแอคชั่นBlockbuster
- สายหนังผู้ก่อการร้าย
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ถ้าจะบอกว่านี่คือหนังที่ทำให้ Mission Impossible กลับมาพีคพุ่งทะยานด้วยฉากแอ็คชั่นภารกิจที่บ้าดีเดือดมากกว่า 3 ภาคแรก เดิมที ทอม ครูซ วางแผนจะทำภาคนี้ทิ้งทวนด้วยซ้ำเพราะเขาคิดว่าวันเวลาของเขากับแฟรนไชส์นี้คงจบสิ้นแล้ว ระยะเวลาที่ห่างจากภาค 3 นานเกิน 5 ปี บ่งบอกถึงคิวงานที่แน่นที่ต้องออกกองถ่ายทำหนังแทบทุกปีไม่ได้พัก การเปิดตัวเจ้าหน้าที่ Brandt คือการส่งตัวสายลับคนใหม่ แต่เผอิญทุกอย่างกลับผิดคาด หนังกลับได้รับการตอบรับที่ดีกับผู้ชม โดยเฉพาะพล็อตเรื่องที่ดูก็รู้เลยว่าหนังมีกลิ่นอายสายลับยุคใหม่ สายลับที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ในเงามืด โดนตัดห่างปล่อยวัดทำภารกิจแบบลำพังไร้การสนับสนุน ผิดจากภาคก่อนๆ Brad Bird ผู้กำกับหนังนำความสดใหม่มาสู่แฟรนไชส์นี้ หนังมีมิติกลายเป็นงานที่ดูสนุกลึกลับซับซ้อน ภารกิจที่ล้มเหลวกลางกรุงบูดาเปสต์ในฮังการี นำมาสู่การไล่ล่าเอาตัวรอดในมอสโคว์ใครจะไปคิดไปฝันละว่า หนังจะเนรมิตรให้พระราชวังเครมลินระเบิดได้แบบนั้น หนังเน้นอารมณ์แบบ James Bond ผสมผสานกับงานภาพที่ตัดต่อรวดเร็วแบบสไตล์ Jason Bourne แต่พวกเขาไม่ได้หลอกไอเดียมาหมด ยังคงผสมผสานให้เป็นหนังสไตล์ Mission Impossible แบบภาคก่อนๆ
หัวใจสำคัญของหนังคือการออกแบบฉากแอ็คชั่นตอนถ่ายทำทุกคนคิดว่า ทำแบบส่งท้ายออกมาให้ดีที่สุด กลายเป็นงานที่เลือกใช้โลเคชั่นและประยุกต์ออกมาได้น่าดูน่าชม ใครจะเป็นเชื่อละว่า ศัตรูที่แท้จริงของอีธาน ฮันต์ ที่มาปั่นป่วนภารกิจเขา ไม่ได้มีแค่ผู้ก่อการร้าย แต่ยังมีสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อกวนทั้ง พายุทรายที่กระหน่ำในดูไบ ทำให้เราได้เห็นภารกิจการไล่ล่าที่มันส์สะใจ หรือการออกไปปีนตึก เบิร์จ คาลิฟา ด้วยตัวเองของพี่ทอม หรือการต่อสู้ในอินเดียในอาคารลานจอดรถก็เป็นสิ่งที่กล้าคิดกล้าทำให้ดูแปลกใหม่ หนังไม่ได้มีโอเวอร์แอ็คติ้งที่เกินไป อีกสิ่งที่หนังเล่าเรื่องออกมาได้น่าสนใจ คือหนังย้ำเตือนให้เราได้คิดว่า เมื่อเข้าตาจนคนดีก็ต้องพึ่งพาคนร้ายได้เสมอ เหมือนที่อีธาน จำเป็นต้องเขาความช่วยเหลือนักค้าอาวุธเถื่อน เพื่อหาเสบียงใหม่ออกไปสู้ หนังใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อนำเสนอฉากแอ็คชั่นเนื้อหาที่ดูใกล้เคียงกับความเป็นจริง กลายเป็นรากฐานสำคัญให้แฟรนไชส์นี้ได้ไปต่อใกล้ถึงเวลาปิดตำนานแล้วด้วยซ้ำ
นอกจาก ทอม ครูซ ที่คัมแบ็คบทอีธาน ฮันต์ บทบาทที่พลิกชีวิตให้กลายเป็นแอ็คชั่นสตาร์ในยุค 90 ชุบชีวิตแฟรนไชส์นี้อีกรอบ การแสดงไม่ต้องพูดเยอะ แสดงเองเล่นเองเสี่ยงตายเอง ได้เห็นคิวบู๊ดีๆในทุกๆฉากสร้างความดุเดือดให้ผู้ชมอยู่ตลอด ด้าน เจเรมี่ เรนเนอร์ ที่ถูกวางตัวมาแทนที่ในเวลานั้น เป็นตัวละครที่มาซัพพอร์ท ไม่ได้แย่งซีนอะไรเยอะ ไซม่อน เพจ ฝ่ายเทคนิคจากภาค 3 ที่ออกมาลุยทำภารกิจ เปาลา แพตตอน สาวสวยที่แกร่งที่มาช่วยเติมเต็มให้หนังไม่ได้มีแค่สายลับผู้ชาย ภาคนี้ไม่ได้วางนักแสดงสายลับ แต่ยังใส่วายร้ายที่เก่งฉลาดมาฟัดกับกลุ่มอีธาน ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล นีควิสต์ นักฆ่าอาวุธที่หวังใช้นิวเคลียร์ถล่มอเมริกา ที่เก๋าเกมส์ไม่แพ้ฮันต์ เลอา แซดู ที่เวลานั้นยังเป็นดาวรุ่ง เธอมีเสน่ห์มากในเวลานั้น
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Tom Cruise ตั้งใจจะทำภาคนี้ทิ้งทวนก่อนส่งต่อแฟรนไชส์ให้ตัวละครอื่น แต่ผิดคาดหนังประสบความสำเร็จทำเงินสูงกว่า 3 ภาคแรก และคำวิจารณ์พุ่งสูง
- Jeremy Renner เซ็นสัญญาแสดงหนัง 3 ภาค
- Tom Cruise ออกไปปืนตึกเบิร์จ คาลิฟาด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้สแตนด์อิน
- Brad Bird ผู้กำกับแอนิเมชั่น Incredibles มาทำหนังคนแสดงเป็นครั้งแรก