Last Night In Soho (2021)

ฝัน-หลอน-ที่โซโห

Last Night In Soho Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

ไม่คิดว่าบทหนังจะเล่าได้บันเทิงแบบนี้ จัดจ้านมาก มาแบบใสๆก่อนจะใส่ความหลอนชวนระทึกขวัญลงไปทำให้ซับซ้อนไปเลยจ้า องค์ประกอบลงตัวมาก หนังมีมนเสน่ห์มาก แถมจบก็หักมุมอีก

หมวดหมู่ : Mystery Thriller
สัญชาติ : British
กำกับโดย : Edgar Wright
ความยาว : 1 ชั่วโมง 56 นาที
นักแสดงนำ : Anya Taylor-Joy, Thomasin McKenzie, Matt Smith

คำคมจากภาพยนตร์

Do you believe in ghosts?
คุณเชื่อเรื่องผีไหม?

เรื่องย่อ

แอลลี่ ผู้หญิงคนจากต่างจังหวัดผู้หลงใหลงานแฟชั่นดีไซน์และสอบติดมหาลัยชั้นนำของอังกฤษ และความรักความชอบนำพาเธอมาเล่นในลอนดอน แต่ด้วยวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนเด็กในเมือง ทำให้เธอปลีกตัวออกห่างจากสังคม และย้ายไปอยู่ห้องเช่าซอมซ่นอกมหาลัยที่ดูเก่าและเงียบสงบมาก กระทั่งคืนหนึ่ง จู่ๆ เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับไปในปี 1960 อย่างไม่ทราบสาเหตุ และได้มาพบกับ แซนดี้ นักร้องสาวมากเสน่ห์ที่กำลังถูกใครบางคนทำร้ายจนเสียชีวิต ไม่นานจากนั้นเอลลี่ยังต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดมากมายที่นำพาเธอไปพัวพันกับการฆาตกรรมของแซนดี้มากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอตัดสินใจตามหาความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Last Night In Soho นั้น เป็นหนังทริลเลอร์จิตวิทยาสายดาร์คที่มาพร้อมกับความวินเทจย้อนยุคอารมณ์แบบหลอน สับขาหลอกคนดูได้อย่างหน้าตาย หนังผสมผสานทุกอย่างที่มีได้อย่างตัว บทจะหลอนก็หลอนไปเลย พล็อตหนังจึงคาดเดาเนื้ออะไรไม่ได้ผู้ชมจึงได้ความบันเทิงลุ้นระทึกตลอดเวลาว่า นางเอกจะเอาตัวรอดจากความหลอนโลกที่น่ากลัวไปได้อย่างไง แฟนหนังดาร์คๆน่าจะถูกอกถูกใจหนังเรื่องนี้แน่ๆ

  • สายหนังทริลเลอร์
  • สายหนังระทึกขวัญ
  • สายหนังวินเทจ

รีวิว / สรุปเนื้อหา

นี่คือหนังที่ทำให้เรารู้สึกบันเทิงตื่นเต้นเร้าใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีฉากแอ็คชั่นตูมตามต่อสู้กันมาหลอกตาผู้ชมแบบเรา หนังมาด้วยเนื้อหาหญิงสาวผู้มีความฝันมายังลอนดอนเพื่อความฝันอยากเป็นดีไซเนอร์ โครงเรื่องช่วงแรกหนังเหมือนเป็นการแนะนำตัวนางเอกอย่าง แอลลี่ สาวหวาน แต่หลังจากนั้นเนื้อเรื่องกลับตาลปัตร ไม่มีหวานอีกต่อไป หนังค่อยๆจำลองภาพอดีตและความฝันนำพาตัวละครหลุดเข้าไปยังลอนดอนในช่วงปี 1960 ภาพดูงดงาม ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่น เสื้อผ้าหน้าผมนักแสดง บรรยากาศการเต้นรำที่ดูสนุกสุดเหวี่ยง ซาวด์ประกอบที่ถูกเลือกนำมาใช้ เสียงเพลงดูกึกก้อง หลอดไฟนีออนสีสันสดใส มันคงเป็นช่วงเวลาในฝันของใครหลายๆคน และนางเอกก็เป็นคนคลั่งไคล้โลกยุค 60 มากเหลือเกินซะด้วย เธอสนุกเอนจอยกับช่วงเวลานั้นมาก จนหลงลืมไปว่ามันคือความฝันแต่ทว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมต่อกันแบบที่เธอเองไม่รู้ตัว จากฝันหวานทิศทางของเรื่องๆเริ่มมีความดาร์คขึ้นเรื่อยๆยิ่งถลำลึกมากขึ้นเท่าไหรมันกลับอันตรายมากขึ้น กลายเป็นเรื่องสยดสยอง

หนังค่อยๆตั้งคำถามกับตัวละครว่าฝันหวาน อดีตที่เราคิดถึง เมืองในฝัน ไม่มีอะไรที่สวยหรูสวยงามเสมอไป เพียงแต่ว่าคนเรามักจะพูดคุยแต่เรื่องดีๆ ไม่กล้าเปิดปากพูดถึงสิ่งที่เลวร้าย นางเอกพยายามอยากจะเป็นแซนดี้ แต่งกายทำผมให้ใกล้เคียง เพราะหลงใหลและปล่อยให้ความสนุกสนานชั่วคราวแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนมาครอบงำตัวเธอ Edgar Wright ผู้กำกับเล่าเรื่องได้แยบยล สร้างพล็อตเรื่องที่เป็นทริลเลอร์ระทึกขวัญจิตวิทยาที่ไม่จำเป็นต้องมีฉากต่อสู้หนีตายมาเป็นจุดขาย โยงความฝันและโลกยุค 60 และออกแบบงานสร้างได้งดงาม แต่ละฉากแต่ละซีนดึงดูดนำพาให้เราหลุดเข้าไปยังโลกเดียวกับนางเอก ไม่มีฉากไหนที่จดจำไม่ได้ เพราะงานฟีลลิ่งอย่างกับศิลปะจนเราไม่กล้าละสายตา หนังมีมนต์สะกดอะไรบ้างอย่าง การผสมผสานลอนดอนยุค 60 กับปัจจุบันลงตัวพอเหมาะพอเจาะ บทจะหลอนก็หลอนไปเลย ในขนาดเดียวกันไดนามิคหนังก็ไม่ได้สยดสยอง แต่สร้างซีนทริลเลอร์จังหวะจะโคนดีมาก ทำให้เราคาดเดาเนื้อหาอะไรไม่ได้เลย บรรยากาศหนังอบอวลไปด้วยความพิศวง งานภาพการเล่าเรื่อง มีลูกล้อลูกชนในการนำเสนอความระทึกขวัญให้สอดคล้องไปกับเพลงประกอบได้อย่างลื่นไหลจนเรายังต้องร้องว้าวไปเลยจ้า

อีกสิ่งหนึ่งของหนังที่ไม่พูดไม่ได้นั้นคือ การแสดงของ 2 ดาราสาวดาวรุ่งพุ่งแรง ไม่ว่าจะเป็น Thomasin McKenzie และ Anya Taylor-Joy หนังเหมือนพาเราไปสำรวจตัวตนและความนึกคิดของสองตัวละครหลักอย่างเอลลี่และแซนดี้ในหลากหลายมิติ แวดล้อมต่างๆที่ทั้งคู่พาไป บอกเลยว่าการแสดงของสาวน้อย 2 คนนี้มีเสน่ห์มาก นอกจากบทหนังโครงเรื่องที่ทำออกมาดีแล้ว มันเลยส่งให้เธอออร่าเฉิดฉายได้ถูกที่ถูกเวลา โดยเฉพาะ Thomasin McKenzie ผู้รับบทเป็นเอลลี่ หญิงสาวนักล่าฝันที่ชีวิตต้องมาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาด เธอถ่ายทอดความรู้สึกกังวลและหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดได้ยอดเยี่ยม ลบภาพสาวยิวตัวประกอบใน Jojo Rabbit ไปจนหมดสิ้น เรื่องนี้เปิดโอกาสให้ส่องแสงทั้งในแง่การแสดงและความงามซึ่งบอกเลยว่าพัฒนาการไปไกลกว่าเดิมมากแล้ว ส่วนอีกคนคือน้อง Joy หญิงสาวผมบลอนด์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงพบเจอความหลอกลวง ตีบทแตกกระจายเมื่อต้องมาถ่ายทอดความเจ็บปวดที่ตัวละครแซนดี้ต้องแบกรับ และทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆว่าทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้เพราะทุกอย่างมีบทสรุปมีที่มาที่ไปที่ชัดเจนเห็นแล้วเจ็บแทนเธอเหมือนกัน บอกเลยว่าคาแรกเตอร์มีเสน่ห์เย้ายวนใจมากๆ

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Edgar Wright สอดแทรก Easter Egg James Bond เอาไว้เปรยกลายๆว่าพร้อมกำกับ 007 เรื่องต่อไปแล้ว
  • บทหนัง Last Night in Soho ถูกเขียนพัฒนาแบบลับๆมาตั้งแต่ปี 2007
  • ที่มาที่ไปของหนังเกิดจากเรื่องราวละแวกที่อยู่อาศัยของผู้กำกับที่เขาได้ยินมาจากพ่อแม่ในช่วงปี 1960
  • ซาวด์ประกอบหนังที่นำมาใช้เป็นเพลงยุค 60
  • หนังไปถ่ายทำเซ็ตติ้งฉากในสถานที่จริง ไม่ได้ใช้ Green Screen
  • ผลงานเรื่องสุดท้ายของ Diana Rigg นางเอก 007 ตอน On Her Majesty's Secret Service