Kick-Ass (2011)
เกรียนโคตรมหาประลัย
คะแนน
โกดังหนัง
มันส์เต็มพิกัดไปกับหนังสายฮีโร่ติดดิน ที่เหนือชั้นจากการฝึกฝน แถมเต็มไปด้วยตัวละครน่าสนใจ กับเนื้อเรื่องเข้มข้น ที่มอบบทเรียนชั้นดี
คำคมจากภาพยนตร์
“At some point in our lives we all wanna be a superhero.” “ในช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต เราก็อยากที่จะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ด้วยกันทั้งนั้น”
เรื่องย่อ
เดฟ เด็กหนุ่มลูสเซอร์ ที่อยากจะเป็นฮีโร่กับเขาบ้าง เลยจัดแจงตัดชุดในฐานะ “Kick Ass” เพื่อออกไปต่อสู้กับคนไม่ดีในสังคม โดยที่ตัวเองไม่มีความสามารถอะไร ก็เลยโดนยำกลับมาอยู่เสมอ จนกระทั่งเขาได้พบกับฮีโร่ศาลเตี้ยพ่อลูกอย่าง Big Daddy และ Hit Girl ที่ฝึกฝนความสามารถ เพื่อต่อสู่กับเหล่าร้ายอย่างจริงจัง เขาเลยได้มีโอกาสไปเข้าร่วม เพื่อต่อกรกับ แฟรงค์ ดี อามิโก้ และลูกชายคริส แก๊งมาเฟียที่ชั่วร้ายในนิวยอร์ค
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Kick-Ass นั้นคือหนังสไตล์ฮีโร่อีกเรื่อง ที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องพลังพิเศษเหนือมนุษย์อะไร แต่กลับเล่าเรื่องฮีโร่ในแบบติดดิน และมีความเป็นมนุษย์ที่อยากช่วยเหลือคนอื่นเป็นอย่างมาก ผ่านคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจแต่ละตัวในเรื่องที่กระจายบทได้ดีและมีมุมเด่นเป็นของตัวเอง ซึ่งใครที่คาดหวังความจัดใหญ่อลังการ และสเกลพลังจัดเต็มนั้น อาจจะไม่ได้อย่างที่หวัง และอาจต้องผายมือไปทางค่าย Marvel และ DC แทน แต่ใครที่ชอบหนังฮีโร่แบบติดดินที่มีความขี้โม้ ผสมความโหดเลือดสาดอย่าง Kingsman: The Secret Service หรือ Super แล้ว นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าตรงจริตได้เป็นอย่างดี
- สายหนังฮีโร่เรทอาร์
- สายหนังฮีโร่สายดาร์ค
- สายหนังแอคชั่นวัยรุ่น
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จาก Comic ของ Mark Millar ที่มักสร้างสรรค์การ์ตูนที่มีเนื้อหาที่ฉีกไปจากฮีโร่ทั่วๆ ไป และผลงานของเขาก็มักเป็นที่จับตา จนนำมาขึ้นจอเป็นฉบับภาพยนตร์อยู่เต็มไปหมด โดยที่ผ่านมาก็มีทั้ง Kingsman, Wanted รวมถึง Kick-Ass เรื่องนี้ ที่จะเห็นได้ว่าความเป็นฮีโร่ในเรื่องราวของเขานั้นมักมีความเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร อย่างใน Kick-Ass เองก็เริ่มจากเรื่องของเด็กหนุ่มธรรมดาที่ดันมีความคิดอยากเป็นฮีโร่ อยากช่วยเหลือสังคม ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มีพลังอะไร แต่ด้วยความที่รักความถูกต้อง เขาจึงออกไปช่วยเหลือคนแม้ว่าจะเจ็บตัวกลับมาก็ตาม จนสุดท้ายก็ได้พลัง (หรือเปล่านะ) กับการที่ปลายประสาทชาจนไม่รู้สึกเจ็บปวด
ตัวหนังมันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จที่ว่า ด้วยพลังแห่งความดี และจิตใจดีงามจะเอาชนะทุกสิ่ง แต่กลับตีแสกหน้าคนดูอย่างแรง สำหรับประเด็นที่ว่าด้วยคนที่เจตนาดี แต่ไม่มีความพร้อม ว่าสุดท้ายแล้ว มันให้ผลเสียออกมาอย่างไร ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตัวละครนั้นได้เรียนรู้ และก้าวข้ามผ่านไป แม้ว่าจะต้องเสียสิ่งที่สำคัญแลกไปก็ตาม ในด้านตัวละครนับว่าทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งตัวเอกเอง รวมไปถึงเจ้าหนู Hit Girl ที่ออกมาทีไรก็ขโมยซีนตลอด ด้วยความ ดุ เดือด ดิบ ของเธอที่ขัดกับภาพลักษณ์ความเป็นเด็กสาวตัวน้อยมากๆ ก็เป็นอะไรที่สร้างสีสันได้เป็นอย่างดี เวลาออกลวดลายคิวบู๊หรือพูดคำหยาบต่างๆ ในเรื่อง
นอกจากฝั่งตัวเอกแล้ว ในฝั่งตัวร้ายก็ดีไซน์ตัวละครมาได้แสบไม่แพ้กัน และมีการพัฒนาการของตัวละครที่ค่อนข้างน่าสนใจ สำหรับตัวละครในฝั่งนี้อย่าง Red Mist ที่ก็มีจิตใจตั้งต้นที่จะเป็นฮีโร่เหมือนกัน แต่กลับเลือกที่จะไปอีกทาง เมื่อตัวละครและเนื้อเรื่องมีน้ำหนักแล้ว มันก็ช่วยเสริมให้บรรดาฉากแอคชั่นที่เกิดขึ้นในหนังล้วนเต็มไปด้วยความสนุกมาก ประกอบกับการใช้ Rate R อย่างคุ้มค่า ก็สร้างความรุนแรงในแบบที่ดุเดือดเลือดพล่านได้เป็นอย่างดี ขัดกับตัวละครวัยรุ่นและเด็กๆ ที่อยู่ในเรื่องซะเหลือเกิน แต่ผลที่ได้กลับเป็นความสะใจ และความมันส์ บนเนื้อหาและประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สมกับชื่อผู้กำกับแถวหน้าอย่าง Matthew Vaughn จริงๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ก่อนที่หนังจะมาอยู่ในมือของค่าย Lionsgate นั้น ทาง Producers เล่าว่าแต่ค่ายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเราจะรับหนังเรื่องเอาไว้ ถ้าคุณยอมที่จะตัดบท Hit-Girl ออก หรือปรับให้เธออายุสัก 19 (โดยหารู้ไม่ว่า นั่นจะกลายเป็นจุดขายของหนังที่แท้จริง)
- หลังจากมีกระแสมากมายที่วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของตัวละคร Hit-Girl นั้น น้อง Chloë Grace Moretz ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จริงๆ แล้ว ถ้าเธอพูดบางคำที่อยู่ในหนังภายในบ้านเนี่ย เธอคงจะโดนกักตัวอยู่ในห้องจนถึงอายุ 20 เลยมั้ง เพราะเธอไม่ทางพูดคำเหล่านั้นออกมาแน่ๆ ในชีวิตจริง ขนาดชื่อหนังเวลา่ที่เธอสัมภาษณ์ออกสื่อ เธอยังแทนด้วยคำว่า “the film” และเรียกมันว่า “Kick-Butt” เวลาอยู่บ้านแทน (อะไรจะเรียบร้อยปานนี้)
- Daniel Craig และ Mark Wahlberg ก็เป็นอีก 2 ชื่อที่ทางทีมงานพิจารณาให้มารับบท Big Daddy ก่อนจะตกเป็นของ Nicolas Cage ที่เหมาะสมซะเหลือเกินในบทบ้าๆ โอเวอร์ๆ แบบนี้ (อันนี้ชม)