เรื่องย่อ

เหล่าผู้พิทักษ์จักรวาลกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่บนดาวโนว์แวร์ แต่แล้วจู่ ๆ ชีวิตในอดีตสุดปั่นป่วนของ Rocket ก็หวนกลับมาทำให้เกิดเรื่องอีกครั้ง ขณะเดียวกัน Star-Lord ที่แม้ว่าจะยังเสียใจกับการจากไปของ Gamora ก็จะต้องรวมทีมกับเหล่าสหายในภารกิจสุดท้าทายเพื่อช่วยชีวิตของ Rocket โดยมีชีวิตของทุกคนเป็นเดิมพันในภารกิจนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Guardians of the Galaxy Vol. 3 เป็นหนังฮีโร่ที่เหมาะกับแฟนหนังสาย Marvel โดยเฉพาะ ถ้าจะบอกว่านี่คือหนังที่กอบกู้จักรวาล MCU ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมุกตลกฉากแอ็คชั่น ประเด็นดราม่าของตัวละคร มิตรภาพของกลุ่มฮีโร่ดูแน่นแฟ้นถูกนำมาใช้ได้อย่างสนุกสนานและเหมาะสมมากๆ แฟนหนังจะเอนจอยไปกับเรื่องราวที่มีทั้งสนุก เศร้า ซึ้ง แน่นอนมันทำให้ผู้ชมเต็มอิ่มได้มหาศาล แต่ให้ไม่ใช่แฟนหนังฮีโร่ หรือแฟนเดนตาย Marvel ก็เถอะ เรื่องนี้ที่ชุบชีวิตให้ผู้ชมมีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงแบบที่หนังเรื่องอื่นๆในแฟรนไชส์ Marvel 3 ปีก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ถ้าหากใครหลายคนรู้สึกว่า Marvel หมดมุกย่ำอยู่กับที่อยู่ในกรอบเดิมๆ บอกเลยว่าคิดผิดคิดใหม่ได้ เพราะสุดท้ายหนังดีไม่ดีอยู่ในไอเดียวิสัยทัศน์และ Message ที่จะนำเสนอ James Gunn อาจไม่ใช่นักสร้างหนังที่เพอร์เฟ็ค แต่เขารู้เหลี่ยมรู้มุมว่าจะทำหนังอย่างไรให้แตกต่างในวันที่หนังฮีโร่ครองเมืองจนคนดูเริ่มเอียน Guardians of the Galaxy คืองานที่กอบกู้เฟส ของ MCU ได้แบบชัดเจน หนังมีส่วนผสมของความเป็นฮีโร่ และมุกตลกที่ดูจับต้องได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเทคนิคการเล่าเรื่องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ภาพของหนังเลยมีหลากหลายอารมณ์เหมือนเราได้อยู่บนเครื่องเล่นในสวนสนุกที่จังหวะหนังมีขึ้นมีลง โดยเฉพาะ Rocket ที่กลายเป็นหัวใจหลักของเรื่องในภาคนี้ บาดแผลความเป็นความตายของเพื่อน ทำให้ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันช่วยชีวิต ทุกตัวละครเลยมีความเห็นอกเห็นใจ แทบทุกคนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด หนังขยี้ออกมาได้น่าสนใจ และเชื่อมโยงไปยังผู้ชมได้ไม่อยากมันจะเป็นอย่างไร ถ้ามีเหตุการณ์เข้าตาจนกับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ทุกคนรวมใจกันต่อสู้แม้ว่าสภาพจิตใจบางคนจะปวดร้าวแตกสลายเพราะทุกคนก็หวาดกลัวและอ่อนแอ James Gunn เขียนบทหนังที่เฉพาะตัวมีความเป็นมนุษย์มากๆ บทหนังมีความดราม่าแต่ก็แฝงไปด้วยแอ็คชั่น มันเลยกลายเป็นการผจญภัยเพื่อเพื่อนที่ต้องก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปให้ได้

หนังสร้างรายละเอียดปลีกย่อยได้น่าสนใจ ด้วยกรอบเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นอะไรที่สนุกมาก โดยเฉพาะโปรดักชั่นนอกโลกที่ดูแล้วมันเป็นเรื่องสมมุติขึ้นมา แต่ทำให้ผู้ชมแบบเราๆรู้สึกว่ามันมีอยู่จริง หรือการ Tribute หนังตำนานเรื่องดังก็สร้างโลกจำลองที่มีความเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร การเล่าเรื่องที่ฉลาด หลากมุกถูกใช้งานในจังหวะที่เหมาะสม กวนประสาทตามสไตล์ผู้กำกับเหมือนเดิม และหนังก็ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพที่ดูว้าวไม่มีปลอมไม่มีหลอก CG ไฉไลขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มันทำให้หนังภาพนี้ภาพทุกอย่างสวยงามมากๆ ผลลัพธ์เลยทำให้ฉากแอ็คชั่นของหนังออกมาสนุกสนาน ผสมผสานกับประเด็นดราม่าคุณค่าของตัวละคร ที่สำคัญเนื้อหาหนังยังคงรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ได้ ทุกอย่างลงตัวดีทั้งบทหนัง โปรดักชั่นสดใส ซาวด์ประกอบเพลงยุค 90 ที่ใส่เข้ามาก็บิ้วอารมณ์หนังได้พอสมควร แน่นอนว่าเมื่อจบหนังเรื่องนี้คงมีแฟนๆไปหามาฟังกันแน่ๆ

ส่วนของนักแสดงนำทุกคนรับส่งบทกันได้ดี บทหนังของ James Gunn เกลี่ยพื้นที่ให้ตัวละครมีช่วงเวลาที่โดดเด่นทั้งพาร์ทดราม่าและแอ็คชั่น Chris Pratt พระเอกขวัญใจสาวๆเล่นเป็นตัวเอง หลงตัวเอง บทเก่งคือเก่ง บทจะโง่ถนัดใช้อารมณ์ก็เหมือนเดิมๆ กลายเป็นภาพจำของแฟนหนังไปแล้ว, Zoe Saldaña ที่บทหนังเปลี่ยนไป ค่อนข้างชอบคาแรกเตอร์ที่ดูเจ้าอารมณ์นะ แตกต่างจากหนังภาคก่อน, Dave Bautista ไม่แปลกใจที่ใครๆก็หลงรัก Drax เพราะตลอดเวลาที่เขาได้แสดง บทบาทคนที่บ้าพลังขี้เกียจแต่อีกมุมหนึ่งเขาคือคนที่เสียสละเพื่อแก๊งค์เพื่อนๆพอสมควรนะ, Karen Gillan เจ้าของบท Nebula คือชอบนางมากเหมือนเธอเกิดมาเพื่อบทนี้เลยแข็งแกร่งเหลือเกิน, Pom Klementieff การมีเธออยู่ในเรื่องนี้สร้างความตลกลูกล่อลูกชนได้เพียบเลย