Doi Boy (2023)
ดอย บอย
คะแนน
โกดังหนัง
เล่าเรื่องได้งดงามแม้มันโหดร้าย คนชายขอบไร้ความหวังไร้ที่ยืนในสังคมที่เรียบง่าย แต่ Message ชัดเจนจริงใจ ติดโผหนังไทยที่ชอบไปแว้ว
คำคมจากภาพยนตร์
"ผมนี่แม่งกลัวตำรวจฉิบหายเลยพี่ แม่งชอบไถ ตำรวจนี่แม่ง เหี้ยจริงๆเลยนะพี่"
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ ศร อดีตทหารไทใหญ่ผู้ลี้ภัยจากรัฐฉานในพม่าอพยพเข้าเมืองไทยมาแบบผิดกฏหมาย ไร้ทางเลือกไร้โอกาส และต้องมาทำงานเป็นหมอนวดในบาร์เกย์ที่เชียงใหม่ ต้องใช้ชีวิตแบบคนไทยไร้ตัวตน หาเงินมาจ่ายค่าเช่าค่าหอ จนกระทั่งโควิดมาเยือน เงินที่มีหวังจะไปทำเอกสารเป็นคนไทย แต่โชคไม่ดี จนกระทั่งเขาได้ข้อเสนอจากตำรวจนายหนึ่งที่พร้อมจะยืนมือช่วยเหลือให้ เขาเลยยินยอมที่จะทำตามข้อเรียกร้องแบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อหวังจะเป็นคนไทยจริงๆ ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Doi Boy เป็นงานดราม่่าที่เหมาะกับแฟนหนังสายรางวัลโดยเฉพาะ บทหนังล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตามผ่านวิสัยทัศน์คนที่เข้าใจคนอพยพจริงๆ โดยใช้แกนหลักคือกลุ่มคนไทใหญ่ด้อยโอกาสที่เผชิญหน้ากับความโหดร้ายในรูปแบบที่หลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้เลย เรื่องราวสะท้อนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่มีการเมืองสอดแทรกอยู่ในทุกมิติ ดำดิ่งลึกเข้าไปจนกลายเป็นที่อันตรายมันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ชีวิตเองก็เลือกไม่ได้ เนี่ยแหละหนังที่กล้าหาญวิพากย์วิจารณ์สังคมได้อย่างตรงไปตรงมา
รีวิว / สรุปเนื้อหา
นี่คือหนังที่พูดถึงคนจนคนชายขอบคนไร้หนทางไร้ความหวังในสังคมไทยที่ดูจริงใจจริงจังกับ Message ที่ต้องการนำเสนอผ่านมุมมองของคนไทยสารคดีที่ได้ไปพบปะทะกับคนไร้สัญชาติมากมาย ที่ต้องอาศัยแบบหลบๆซ่อนๆในสังคม ทำให้หนังดูน่าค้นหา ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป ผ่านมุมมองตัวละครอย่างศร ที่หวังจะพบชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ที่เขาทำได้แค่เป็นทหาร เมื่อคนไร้โอกาสในประเทศตัวเองก็หวังพบหนทางใหม่ๆ แต่ชีวิตที่บ้านไม่ได้ง่ายดาย บวกกับการหนีเข้าประเทศมาแบบผิดกฏหมาย มันก็ไม่ต่างจากการใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ ไม่มีโอกาสไม่มีความหวัง เจองานอะไรที่ทำแล้วได้เงินก็ต้องทำแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายก็ไปจบที่บาร์เกย์ หนังเล่าเรื่องที่พาไปสำรวจเส้นทางชีวิตของตัวละครที่ไม่มีที่ยืนในสังคม หนำซ้ำยังกลายเป็นเหยื่อของตำรวจที่จ้องจะค่อยเล่นงาน หนทางชีวิตย่ำแย่มากพอแล้ว ชีวิตบัดซบเจอโควิดเข้ามาซ้ำเติม บาร์ปิด เงินก็ไม่มี เงินเก็บกับความหวังที่จะไปอยู่ในที่ที่ดีกว่าก็แทบไม่เหลือแถมโดนโกงอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีก เมื่อเป็นคนไร้ความหวังไร้สัญชาติมันน่ากลัวไม่แพ้ความจน ต้องหนีอย่างเดียวไร้ทางเลือก กลับบ้านเกิดที่รัฐฉานก็ไม่ต่างจากกลับไปอยู่ในนรก อยู่เมืองไทยก็ไม่มีที่ยืนอีก
ชอบทื่หนังเล่าเรื่องในเวลที่จำกัดแต่กลับพาผู้ชมไปสัมผัสมิติของตัวละคร 3 คนในมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งไม่ได้มีแค่ศร ชายไทใหญ่ขายบริการ แต่ยังมีตำรวจที่ถือกฏหมายแต่ด้วยหน้าที่อาชีพของตัวเอง เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอะไรมากในการทำคดีจับคนเข้าเมืองผิดกฏหมาย หรือแม้แต่วุฒิ นักกิจกรรมที่ทางการกำลังตามล่าตัว เมื่อ 3 ตัวละครมาเจอกันมันทำให้เราเห็นว่าตัวละครกำลังหลบหนีเพราะถูกกดขี่ข่มเหงจากอำนาจรัฐ อำนาจมืดที่คนธรรมดาอย่างพวกเขาต่อสู้อะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างโดนบีบคั้น ต้องหนีรอดอย่างเดียวเท่านั้น ไม่งั้นก็จะหายตัวไปแบบปริศนา บรรยากาศหนังดาร์คหดหู่โหดร้ายแต่ในอีกด้านหนึ่งหนังไม่ได้มีมุมที่มืดมิด แต่ยังสื่อให้เห็นถึงความสว่างของตัวละคร 3 ตัวว่าพวกเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เพราะแวดล้อมในสังคมทำให้พวกเขาไร้อิสรภาพไร้จุดยืนที่จะทำตามใจตนเองได้ตั้งหาก หนังเองถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก องค์ประกอบแสงสีเสียง เซตติ้งโลเคชั่นที่เชียงใหม่ บาร์เกย์ ฉากการประท้วง บรรยากาศช่วงโควิด ที่ทำให้เราได้เห็นถึงโลกสีเทา ทั้งอาชีพขายบริการ คนไร้ความหวังในสังคมที่นำเสนอได้กระชับเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเข้าอกเข้าใจตัวละครมากขึ้น
หนังถูกถ่ายทอดผ่านผู้กำกับที่เข้าใจเนื้อหาสื่อสารได้ตรงไปตรงมาไม่หลุดกรอบไม่หลงประเด็น ผ่านนักแสดงหลัก 3 คนอย่างพี่เป้ อารักษ์ ที่เขาพิสูจน์ว่าทำไมถึงกลายเป็นพระเอกหนังที่ยืดหยัดในวงการได้ยาวนานไม่มีแผ่วปลาย เรื่องนี้ลดน้ำหนักไป 10 กิโล เล่นเป็นตำรวจ ที่มีมิติที่ซับซ้อน เรียกว่านิ่งเยือกเย็นมาก “อัด” อวัช รัตนปิณฑะ ชายหนุ่มที่ได้รางวัลนักแสดงจาก Busan ก่อนหน้านี้เขากำลังถอดใจบอกลาอาชีพนักแสดงด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้กลับชุบชีวิตเติมเต็มให้เขาอีกครั้ง บทชาวไทใหญ่ที่แม้จะเป็นเรื่องไกลตัว แต่อัด พิสูจน์แล้วว่า ถ้าเป็นนักแสดงบทบาทอะไรต้องเล่นออกมาให้ดีที่สุด แม้จะมีกรอบเวลาที่น้อย ซึ่งเขาทำออกมาได้ดีเกินคาด เรียกว่าเขาคือนักแสดงที่ถ่ายทอดบทบาทคนสิ้นหวังออกมาได้น่าเห็นอกเห็นใจ เอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ เรื่องนี้สลัดความเป็นคนเทาๆออกไป ทำให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเล่นบทร้ายๆ แต่สัมผัสถึงมุมมองใหม่ๆทางการแสดงว่า ผู้ชายคนนี้แสดงออกมาเป็นธรรมชาติไม่ซ้ำซากจำเจจากงานเรื่องก่อนๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- อวัช รัตนปิณฑะ กำลังจะออกจากวงการบันเทิงในตอนแรก หลังไม่ได้โอกาสแสดงอย่างที่ตั้งใจไว้ตลอด 11 ปี
- พี่เป้ อารักษ์ ไม่ได้อยู่ในแคสติ้งตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้อ่านบทตำรวจเลยสนใจอยากเล่นเรื่องนี้ทันที
- อวัช รัตนปิณฑะ คว้า Rising Star Award จากเวทีรางวัล Asia Star Awards ที่เทศกาลหนังปูซาน
- บทหนังผู้กำกับต้องหาทุนอยู่นานกว่า 5 ปีกว่าจะได้โอกาสสร้างหนังเป็นครั้งแรกในชีวิต