Deadpool (2016)
เด็ดพูล
คะแนน
โกดังหนัง
งานฮีโร่สุดเกรียนที่ ขำกร๊าก ตอบโจทย์ทุกความบันเทิงสร้างสีสันให้ผู้ชมตลอดทาง หยอกล้อกัดจิกเสียดสีได้แบบมีชั้นเชิง เป็นงานกู้ชื่อเสียง Ryan Reynolds
คำคมจากภาพยนตร์
"You don't need to be a superhero to get the girl. The right girl will bring out the hero in you"
"คุณไม่จำเป็นต้องเป็นซูเปอร์ฮีโร่เพื่อไปหาผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่ใช่จะดึงฮีโร่ในตัวคุณออกมา"
เรื่องย่อ
Wade Wilson อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกองกำลังยอดฝีมือ ที่ตกต่ำกลายเป็นทหารรับจ้างฆ่า และพบว่าตนเองกำลังเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อ จึงรับการยื่นข้อเสนอจากเจ้าหน้าที่ลึกลับว่าเขาสามารถรักษามะเร็ง และรับพลังเหนือมนุษย์ไปเพื่อร่วมทีมกับเพื่อนบ้านเอ็กซ์เม็นอย่าง Colossus มนุษย์เหล็กจอมพลังและสาวน้อยพลังจิต Negasonic Teenage Warhead ต่อกรกับ Ajax และลูกสมุนพลังยักษ์อย่าง Angel Dust
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Deadpool เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนังสไตล์ดาร์คๆ ที่บทหนังผสมผสานความเป็นฮีโร่ที่ไม่ได้อินความเป็นพระเอก ใส่ความตลกโป๊กฮามีความโรแมนติก อาจไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะภาพแสงสีเสียงออกแนวกวนประสาท เป็นหนังที่มีความบ้าบิ่นเหลือเกิน มันจึงกลายเป็นแอนตี้ฮีโร่ที่ดูไม่เข้าพวกกับใคร แต่ละฉากออกแบบมาได้สร้างสรรค์ ขุ่นพี่ Ryan Reynolds กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งลบภาพความผิดหวังจากหนังฮีโร่เรื่องเก่าทิ้งไปซะ
- สายหนังที่ชอบฉากแอ็คชั่นแบบดาร์ค
- สายหนัง Marvel
- สายหนังกวนประสาท
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จะบอกว่า Ryan Reynolds ค้นพบแนวทางตัวเองเจอและปล่อยของออกมาได้สุดโต่งมากๆ Wade Wilson ปรากฏตัวใน X-Men Origins: Wolverine ออกแนวพูดมากดูไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่ในตอนนั้น แต่พอได้จับหนังเอง ตัวละครนี้กลับมีเสน่ห์มีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ ไม่ต้องเป็นฮีโร่ที่มีบทพูดหล่อๆคำคมเยอะๆ แต่เป็นตัวละครมีนี้ทัศนคติไม่เหมือนใครในแวดวงฮีโร่ สิ่งที่ชัดเจนสุดคือตัวละครนี้ไม่เคยมีหรือมีมายาคติว่าตัวเองเป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ ซึ่ง Message หนังจึงสวนทางกับหนังฮีโร่ในยุคปัจจุบัน ความน่าสนใจของหนังคือพื้นฐานเรื่องนี้มีความหลากหลาย ไม่ได้อิงแค่ฉากแอ็คชั่น แต่ใส่ความตลกเน้นฮาได้อย่างกลมกล่อม มีความโรแมนติกที่เปิดพื้นที่ให้ตัวละครได้สู้เพื่อคนที่ตัวเองรักอีกตั้งหาก คือไม่ได้เน้นมาขายตัวละครอย่างเดียวแต่ยังรู้เหลี่ยมรู้มุมที่จะเล่าเรื่องตีโจทย์ในวงกว้างได้ดิบดี รู้ว่าจะทำยังให้คนเอนจอยไปกับเนื้อหา ต้องยกความดีความชอบให้ 2 มือเขียนบท Rhett Reese Paul Wernick ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นนักเขียนมือทองแห่งยุคไปเรียบร้อยแล้ว
ตัวหนังอาจไม่ได้มีความแปลกใหม่ หลายครั้งที่ Deadpool หันมาพูดกับคนดูโดยตรง แต่ทุกครั้งที่เค้าพูดกับคนดู มันเหมือนกำลังสื่อสารกับเพื่อนคนหนึ่ง มันเลยทำให้บรรยากาศในการดูแตกต่างจากหนังฮีโร่เรื่องอื่น เพราะเหมือนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความบันเทิงที่เอาใจแฟนๆไม่มีตรรกะอะไร เน้นเล่นใหญ่ ทั้งแอ็คชั่นและมุขตลกอย่างสนุกปาก สกปรก แซ่บ บันเทิง ครบรส พอแอ็คชั่นก็มันสะเด็ด ยิงกันโครมคราม ฟาดฟันอย่างกับหนังจีน พอเข้าสู่โหมดตลกก็ขำสุดลงสุด บางมุขที่ทัชมากๆ คือขำกร๊ากเลย การที่หนังกล้าหาญหยอดมุขตลกจิกกัดคนไปทั่ววงการเป็นอะไรที่เจ๋ง การแซวโรงเรียนของ Professor X จิกกัด X-Men แบบเละเทะ มันเป็นกลยุทธ์ง่ายๆที่คงไม่มีใครกล้าเล่นอะไรแบบนี้ในแวดวงหนังฮีโร่ นี่ยังไม่รวมการเอา Green Lantern จะเป็นตราบาปของ Ryan มาล้ออี ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าหยอกล้อตัวเองแบบนี้ อีกมุมหนึ่งหนังยังสะท้อนให้เห็นว่าโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ Wade ป่วยใกล้ตายเขาอาจจะมีความรักเป็นเครื่องเยียวยา แต่สุดท้ายเขาเลือกจะเป็นมนุษย์กลายพันธ์ุ มีพลังเหลือกว่าคนทั่วไปแต่เขาก็กลายเป็นคนที่หน้าศพ และเลือกจะใส่หน้ากากเพื่อเป็น Deadpool
บทหนังสร้างสรรค์เนื้อหาออกมาดีแล้ว ถ้าหากไม่ได้การแสดงที่กวนๆของขุ่นพี่ Ryan Reynolds หนังคงไม่มาได้ไกลถึงทุกวันนี้แน่ๆ หนังที่ทำให้เขากลับมาเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการอีกรอบ หลังจากก่อนหน้านี้เสียความมั่นใจไปพอสมควรจากหนังฮีโร่อีกค่าย แถมผลงานก่อนจะเล่นเป็น Deadpool หนังก็แทบไม่ทำเงิน ไหนจะเล่นบทสมทบรับเชิญเรื่องอื่นก็ไม่เปรี้ยง กลับกลายเป็นว่าความผิดหวังบาดแผลจากหนังเรื่องก่อนๆ ทำให้ Ryan ปั้นหนังตัวเองได้แบบเต็มที่ พอได้เวลาที่เหมาะสมบ่มจนเข้าที่เข้าทาง ระเบิดฟอร์มออกมาได้เต็มที่ หยอดมุกฮา ทำอะไรเพี้ยนๆ สร้างสีสันให้หนังมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร คิดดูซิได้เห็นเขาเล่นบทมนุษย์กลายพันธุ์พ่วงดาบสองข้างสุดเท่ห์อีกรอบนี่ยังไม่รวม Ed Skrein ที่เป็นวายร้ายที่น่ากลัวน่าเกรงขามกลายเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังเรื่องนี้เกิดได้เพราะหนังตัวอย่างที่ถูดอัพโหลดในยูทูป
- หนังใช้ทุนสร้าง 58 ล้านเหรียญ แต่ทำกำไรไปได้ 13 เท่า
- Rhett Reese และ Paul Wernick ใช้เวลาเขียนบทหนัง 6 ปี