C’mon C’mon (2022)

ลุงครับ 'รัก' คืออะไร

 C’mon C’mon Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังที่ดูแล้วอบอุ่นสะท้อนความสัมพันธ์ครอบครัวได้เป็นอย่างดี ชีวิตมันอาจจะโหดร้ายแต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เป็นสิ่งในการแสดงที่ยอดเยี่ยมของวาคิน ฟีนิกซ์ที้เรียลมากจับต้องได้มีความเป็นมนุษย์ไม่แปลกใจเลยที่หนังโดนใจนักวิจารณ์ไปเต็มๆ

หมวดหมู่ : Drama Family
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Mike Mills
ความยาว : 1 ชั่วโมง 48 นาที
นักแสดงนำ : Joaquin Phoenix, Joaquin Phoenix, Gaby Hoffmann

คำคมจากภาพยนตร์

"I don't know what the fuck i'm doing. Nobody Knows what they're doing. You just have to keep doing it."
"ผมไม่รู้ว่าผมกำลังห่าอะไรอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เราเพียงแค่รู้ต้องทำมันต่อไป"

เรื่องย่อ

จอห์นนี นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังทำโปรเจกต์ออกเดินทางสัมภาษณ์คนหนุ่มสาวไปทั่วประเทศเกี่ยวกับ ความหวัง และ วันพรุ่งนี้”จู่ๆ เขาได้รับการติดต่อจาก วิฟ น้องสาวผู้ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี เธอต้องการให้เขาดูแล เจสซี หลานชายวัย 9 ขวบ จอห์นนีจึงพาเจสซีร่วมออกเดินทางไปทั่วประเทศกับเขา การค้นหาความหมายของคำว่า “รัก” บนโลกเหงาๆ ใบนี้ระหว่างคู่หูต่างวัยจึงเริ่มต้นขึ้น

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ C’mon C’mon เป็นหนังที่เหมาะกับแฟนๆกลุ่มดูหนังดราม่ากับหนังที่ไม่ค่อยอิงกระแส แม้จะได้ Joaquin Phoenix มาชูโรง แต่เนื้อหาเน้นความจริงในชีวิตการที่เราต้องเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตไม่ใช่เรื่องง่ายๆในสังคมที่นับวันยิ่งอยู่ยากความจริงและความฝันไกลห่างออกไป คนที่คิดถึงการมีครอบครัวอาจคิดหนักเพราะความจริงความฝันมันมาพร้อมกับภาระที่เราต้องทุ่มเทชีวิตเฝ้าดูเพื่อให้เด็กคนหนึ่งเติบโตเป็นคนดี พล็อตเรื่องเรียบง่ายแต่ Message ที่สอดแทรกเป็นเครื่องย้ำเติมชีวิตมนุษย์ที่นับวันเหนื่อยล้า เราเองก็ยอมทิ้งความฝันเพื่อใครสักคนหรือเปล่า นี่แหละคือสิ่งที่หนังมีค่ามากๆ

  • สายหนังครอบครัว
  • สายหนังนอกกระแส
  • สายหนังรางวัล
  • สายหนังดราม่า

 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ในบรรดาหนังยอดเยี่ยมในปี 2021 ที่ชนะใจนักวิจารณ์ทั่วโลก นี่คือหนังเรื่องนี้ที่จัดอยู่ในกลุ่มหนังน่าดูของปีแล้วพอเข้าไปดูไปสัมผัส หนังมันเล่าเรื่องได้เรียบง่ายสะท้อนทัศนคติมุมมองคนยุคปัจจุบันได้อย่างเรียบง่าย แต่จริงใจ เราเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานกำกับของ ไมก์ มิลล์ส ผู้กำกับ 20th Century Women เขาคือคนที่ถนัดนำเรื่องราวในชีวิตจริงมาสร้างเป็นหนังได้น่าดูน่าชม เรื่องนี้หยิบมุมมองความสัมพันธ์ระหว่างชายวัยกลางคนกับเด็กน้อยที่กำลังเข้าสู่วัยเติบโต ผ่านสายตาผู้ปกครองอย่างลุง ที่ต้องมารับหน้าที่ดูแลหลานชายที่เขาแทบไม่เคยรู้จักพบหน้ากันมาก่อน ชายหนุ่มที่วันๆทำงานเป็นผู้สื่อข่าววิทยุ เดินทางไปทั่วอเมริกาเพื่อสัมภาษณ์มุมมองเด็กวัยรุ่นที่กำลังเติบโต ถามถึงความคิดมุมมองความฝันเป้าหมายที่พวกเขาอยากจะทำในเมืองทรุดโทรมแห่งนี้ แน่นอนว่าการสัมภาษณ์แต่ละคนกินเวลามากมายคำตอบที่ได้รับก็ไม่เหมือนกัน บางคนมีความหวัง บางคนกลัว ขณะที่บางคนก็ยังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คิดกับสิ่งที่อยากให้มันเป็นจริงจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

หนังเล่าเรื่องให้เห็นชีวิตของ จอหฺ์นนี่ ชายที่ไม่มีภาระอะไรมากมายในชีวิตนอกจากหน้าที่การงานที่พบเจอเด็กๆมากมายในแต่ละวันที่ไปสัมภาษณ์ แต่ต้องจำใจมาดูแลหลายชายที่น้องสาวผลักภาระมาให้ เด็กชายคนั้นซุกซนสนุกสนานเมื่อได้อยู่กับลุงของตัวเองแต่หารู้ไม่ว่า เด็กคนนั้นมีบาดแผลจากความรู้สึกที่แม่ตัวเองแทบไม่เคยใส่ใจหรือดูแลที่เพียงพอ หนังสื่อสารให้เห็นถึงมุมมองคนยุคนี้ที่มองว่าการดูแลเด็กการมีใครสักคนที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องสนุก มันมีแต่ความยากลำบาก แม้แต่ตัว จอห์นนี่ เองก็ปวดหัวเหมือนกันเมื่อมีหลานตัวน้อยเข้ามา เขาต้องพา เจสซี่ เดินทางไปร่วมสัมภาษณ์แหล่งข่าวด้วย และทุกที่ที่ไปเขาเองก็พบปัญหาโลกแตกที่เขาเองก็รับมือไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเองไม่คุ้นเคย เมื่อมาเป็นคนดูแลหลานมันทำให้เขารู้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลายๆฉากเขาเองก็ประมาทเลิ่นเล่อผิดพลาดอยู่บ่อยๆจนเกือบหาหลานตัวเองไม่เจอ ความซนของเด็กก็เหมือนพวกเขาแค่อยากระบายแสดงความรู้สึกให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้แต่หลายๆครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าใจพวกเขา

หนังถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่างลุงและหลาน ตัดสลับไปกับพาร์ทที่จอห์นนี่ ต้องไปสัมภาษณ์เด็กๆตามหัวเมืองต่างๆในอเมริกาเพื่อสอบถามความฝันและอนาคตของพวกเขาตลอดทั้งเรื่องตัดสลับมากับเรื่องราวที่ลุงหลานคู่นี้ต้องเผชิญหน้าเรียบร้อยใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ หนังค่อยๆพูดถึงมุมมองการเจริญเติบโตของคนเรา และปัญหามากมายที่เราต้องเผชิญหน้า ทุกคนมากมายต่างหวาดกลัวแวดล้อมสังคมในยุคปัจจุบันที่หมนหม่องอารมณ์สีเทาดาร์คๆ มันคงเหมือนกับงานภาพที่ผู้กำกับเลือกจะเล่าเรื่องให้เฉดโทนเป็นสีขาวดำ กลายเป็นหนังที่ดูง่ายมากๆ เราชอบเคมีการแสดงของ ลุงและหลานคู่นี้ วาคีน ฟีนิกซ์ และ วูดดี นอร์แมน พวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันจนผูกพันธ์ระบายความรู้สึกต่อกันจนกลายเป็นมิตรแท้ที่ตัดไม่ขาด เราชอบซีนที่พวกเขาทำอะไรเพี้ยนๆในหนังเพราะคาแรกเตอร์ที่พวกเขาแสดงต่างเป็นคนที่เก็บซ้อนความรู้สึกเก่งพอระบายออกมามันกลายเป็นความอบอุ่นมากๆ.

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังเลือกจะเล่าในโทนขาวดำเพราะว่าสื่อให้เห็นโลกที่ดำมืด
  • หนังถ่ายทำโดยที่เรียงไปตามสคริปต์
  • Joaquin Phoenix แทบจะด้นสดบทหนังตลอดทั้งเรื่อง ในฉากที่เขาต้องไปสัมภาษณ์เด็กๆในเรื่อง